อานาปานสติ ณ เสถียรธรรมสถาน
การเดินทางไปปฏิบัติธรรม
ที่เสถียรธรรมสถาน เราเดินทางไปถึงก่อน 4 โมงเย็น จึงเข้าไปสำรวจพื้นที่ก่อนเพราะที่นั้นไม่มีที่จอดรถต้องจอดริมถนนซึ่งจอดได้ถึง
4 โมงเย็นเท่านั้น เดินเข้าไปเพื่อเยี่ยมชมสถานที่แล้วก็ได้พบกับแม่ชีศันสนีย์
โดยไหว้ด้วยใจที่น้อบน้อมแต่ไม่ได้แนะนำตัวว่าเราคือใครเพราะไม่อยากเปิดเผยตัว
อยากมาแบบเงียบๆ แล้วก็เดินไปถามเจ้าหน้าที่ท่านหนึ่งว่า
ถ้าเอารถมาผมต้องเอาไปจอดที่ไหนครับ เขาแจ้งว่าลองขับไปที่ TV Direct แล้วถามรปภ.ว่าขอจอด
แว้บแรกกะว่าจะถอดใจไม่เข้าร่วมแล้ว และกะจะขับรถกลับเลย
แต่แว้บสองก็ลองซะหน่อยนะเดี๋ยวก็คงมีที่จอดรถ
จึงตัดสินใจขับไปที่ TV Direct แล้วแจ้งรปภ.ว่าขอจอดหน่อยนะครับพี่
แล้วพี่คิดค่าใช้จ่ายอย่างไร ทาง รปภ.ก็ยิ้มแล้วแจ้งว่าไม่คิดครับพี่
แล้วแต่พี่จะให้เป็นค่ายากันยุง ค่าน้ำเย็น เพราะอากาศร้อน เราก็เลยให้ไป 100 บาท
เพื่อความสบายใจ แล้วเป็นการช่วยเหลือพี่รปภ.ด้วยอีกทางหนึ่ง
ซึ่งพี่เขาก็แนะนำดีว่าให้ล๊อกรถให้สนิท แล้วอย่าลืมของอะไรไว้ในรถนะครับ
ได้เวลา 4 โมงเย็น ก็เดินไปลงทะเบียน แล้วใส่ซองถวายปัจจัยตามที่เราเขียนไว้
(ตามกำลังตนเอง และกำลังศรัทธา)
พร้อมกับถ่ายรูปวิวทิวทัศน์ ณ สถานที่แห่งนี้ บรรยากาศดีมาก
มีไอน้ำเย็นสบายแล้วต้นไม้เขียวขจีสวยงามตามคำร่ำลือจริงๆ
ชอบกับบรรยากาศที่นี้พอสมควร ทางแม่ชีที่ดูแลตรงจุดลงทะเบียน
ได้ให้บัตรที่เขียนชื่อตนเอง แล้วห้องพัก 401 อาคาร ไตรสิกขา เดินตามเจ้าหน้าที่เพื่อไปที่พักแล้วก็ต้องอึ้งกับที่พัก
เพราะเป็นอาคาร 4 ชั้นที่สร้างขึ้นมาแบบเรียบง่าย เราพักที่ชั้น 4 พอเข้าไปแล้วชอบห้องพักมาก
เป็นห้องพักที่มีห้องน้ำในตัว เตียงขนาดกะทัดรัด
ซึ่งนับว่าโชคดีช่วงที่เราไปอากาศตอนเย็นก็กลับมาเย็นสบายอีกครั้ง
ไม่ถึงกับร้อนมาก ชื่นชมกับห้องพักและทำธุระส่วนตัวเสร็จ ก็รีบเปลี่ยนเสื้อขาวเพื่อไปร่วมกิจกรรมแรก คือ
การโยคะ เรารู้สึกสนุกกับการทำโยคะมาก
แล้วเห็นว่าหลายท่าที่เขาให้ทำ เราก็ทำไม่ค่อยจะได้เพราะเส้นมันตึงมาก
หลังกจากนั้นก็มีการปฐมนิเทศ โดยแจ้งว่ารุ่นนี้เป็นรุ่นพิเศษที่จะมีการยกยอดฉัตรในวันรุ่งขึ้น
(เสาร์ 22 ก.พ.)
ก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งปาฏิหาริย์ที่เราจะได้ร่วมทำบุญยกยอดฉัตรครั้งแรกในชีวิต โดยนึกไม่ถึงว่าจะได้มาร่วมงานยกยอดฉัตร
และก็แอบงงๆว่า การยกยอดฉัตรนั้นมีความสำคัญอย่างไร
ยามเย็นหลังจากปฐมนิเทศเสร็จ
เขาก็ปล่อยอิสระให้กับผู้ที่จะเข้ามาอบรม
ซึ่งเราก็เดินไปเดินมาที่โรงอาหารซึ่งทางร้านค้าเขายังไม่ปิด
เขาก็พูดว่าสั่งอาหารได้นะค่ะ เดี๋ยวครัวปิด 6 โมงแล้วสั่งไม่ได้นะค่ะ
ด้วยความหิวข้าวเย็นก็เลยสั่งข้าวไข่เจียวเห็ดราดข้าวมากิน เป็นอาหารที่อร่อยมาก ชอบๆ เมนูนี้
เอาไว้วันเหลังจะกลับไปสั่งกินเรื่อยๆ แทนใส่หมูสับ
เวลา 1 ทุ่ม แม่ชีศันสนีย์ ลงมาบรรยายธรรม
เล่าถึงที่มาว่าทำไมถึงมีการยกยอดฉัตรกันที่นี้
เพราะท่านต้องการทำถวายองค์พระโพธิสัตว์ที่เป็นปางผู้หญิง เรียกว่า “พระอารยตารามหาโพธิสัตว์” พร้อมกับเล่าประวัติคร่าวๆ เกี่ยวกับการไปช่วยเหลือประชาชนชาวพม่าที่โดนพายุนากีสถล่มเมื่อ
2 ปีที่แล้ว จึงได้รู้จักกับท่านพระอาจารย์สยาดอร์ไจทีเซา แห่งวัดไจทีเซา
สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์
แล้วขอให้ท่านมาเป็นประธานในวันพรุ่งนี้
แม่ชีได้ขอให้พวกเราทำกุศลครั้งนี้ด้วยใจที่ไม่มีอคติ และเราจะมีกำลังในการทำงานแล้วถึงจะมีกำลังดึงความดีที่มีอยู่รอบตัวเรามาให้การทำงานนั้นสำเร็จ การนั่งฟังในครั้งนี้เราก็ได้นั่งข้างๆ
กับคนพม่าด้วยจึงได้ส่งยิ้มไปให้กับเขาด้วย แล้วเขาก็ยิ้มตอบกลับมาด้วยไมตรี หลังจากบรรยายธรรมเสร็จก็สวดมนต์ชุมนุมเทวดา
ทำให้เราขนลุกซู่พอสมควร
พอได้เวลาก็ขึ้นไปที่พักเพื่อพักผ่อน โดยเราก็อาบน้ำอาบท่าแล้วก็นอน
แต่ช่วงแรกนอนไม่ค่อยหลับ คงเป็นเพราะต่างที่นอนก็นอนพักไปประมาณ 30 นาทีได้ถึงจะหลับ
เช้ามืดรุ่งขึ้น
4.40 น. ตื่นขึ้นแล้วลงไปสวดมนต์ทำวัตรเช้า แล้วก็กินข้าวช่วง 7 โมงเช้า วันนี้มีงานใหญ่ ทางเสถียรฯ เลยมีข้าวต้มข้าวกล้องใส่เห็ด
ใส่ฟักทอง ให้กินแล้วไม่ต้องใช้จานของตัวเอง อาหารรสชาติดีมากๆ กินไป 2 ถ้วยเลย
เวลา 8.30 น. พระอาจารย์มาถึงสถานที่แห่งนี้โดยท่านกล่าวให้พร
แล้วพวกเราก็กล่าวรับเป็นภาษาพม่า “สาธุ” 9 ครั้ง พิธีการก็เริ่มขึ้นโดยแม่ชีศันสนีย์
ยกยอดฉัตรที่ตั้งอยู่ชั้น 1 เดินรอบๆ เสถียรฯ
แล้วขึ้นสู่อาคารชั้น 3 เพื่อไปทำพิธีกรรมด้านบนอีกครั้งหนึ่ง
โดยมีการใส่ของมีค่าและรูปพระต่างๆ
ไว้ในยอดฉัตรแล้วนำขึ้นไปประกอบบนฉัตรอีกครั้ง
หลังจากนั้นก็มีการสวดเพื่อให้พิธีการครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
ก็นับว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เราได้ร่วมพิธีกรรมครั้งนี้
เพื่อให้ชีวิตมีบุญกุศลสูงสุดเหมือนยอดฉัตร
เวลา 11.00
น. ลงมาจากด้านบนเพื่อกินข้าวเที่ยง อาหารเยอะมากมาย บรรยากาศก็วุ่นวายนิดหน่อย
คล้ายๆ กับงานฉลองวัดทั่วไปที่เราเคยไป เราก็นั่งดูผู้คนเดินไปเดินมา
แล้วก็ลองซื้อ น้ำสัปะรดกับใบสะระแหน่ปั่น
มานั่งดื่มก็สร้างความสดชื่นให้กับตัวเองได้ดีเหมือนกัน
ช่วงบ่าย
ยินดีกับคนที่ได้รับรางวัล “ตาราอวอร์ด” แล้วไปเดินจงกลม
หลังจากนั้นไปนั่งฟังธรรมบรรยายอีกครั้ง
คำพูดที่ชอบคือ “ปัจจุบันสำคัญที่สุด” ช่วงค่ำทำวัตรเย็น บนยอดตึกอีกครั้งได้นั่งดูพระอาทิตย์อัสดง บนยอดตึก 3 ชั้นแห่งนี้ ตอนค่ำก่อนเข้านอนได้ถามแม่ชีว่า “ความหมายของคำว่า บุญใหญ่ คืออะไร?” แม่ชีตอบว่า “ คือการให้อภัยตนเอง แล้วทำคนรอบข้างให้มีความสุขที่สุด”
วันที่สามของการปฏิบัติธรรม ตื่นไม่ทันพวกเขาไปโยคะสมาธิตอนเช้า
แต่ก็ทันกินข้าวเช้า แล้วเข้าร่วมกิจกรรมการถ่ายทอดสดวิทยุ บางเขน AM 1107
KHz และ internet ยามเช้า 9.00 น. ของทุกวันอาทิตย์
แม่ชีศันสนีย์ลงมาบรรยายธรรมด้วยตนเอง แล้วกล่าวถึงงานเมื่อวานว่า
การยกยอดฉัตร เป็นอุบายที่มีมาแต่โบราณ ที่จะทำให้สาวกหรือประชาชนมีสามัคคีธรรม
ร่วมแรงร่วมใจกันทำงานนี้ให้สำเร็จ เพราะหากไม่มีความสามัคคีแล้วนั้น
การงานทุกอย่างก็คงไม่สำเร็จ
(เป็นการเฉลยคำถามที่คาใจเราในวันแรกได้เป็นอย่างดี)
ยอดฉัตรทำจากทอง ซึ่งแม่ชีได้สอน คำ 3 คำ คือ GOLD GOAL GO
GOLD ที่แปลว่าทอง
นั้นเป็นของมีค่าที่คนนำมาให้ต้องเสียสละ
GOAL เป็นเป้าหมายที่วางไว้ว่างานที่คนเสียสละด้วยกำลังกาย
กำลังทรัพย์ใดๆ นั้นต้องสำเร็จ
GO แล้วพวกเราก็ Let’s GO. เพื่อเดินหน้าทำงานต่อ
เพราะหากพวกเราจมอยู่กับ GOLD ที่เป็นว่าทองเพียงอย่างเดียว
เราจะหลงและปลื้มมันไปในทางที่ผิดแต่ถ้าเรารู้จักใช้แล้วมุ่งมั่นกับงานที่จะเกิดขึ้นมันก็จะสำเร็จได้เป็นอย่างดี
หลังจากท่านบรรยายเสร็จท่านก็ขอตัวเดินทางไปสนามบิน
เพื่อจะเดินทางไปประเทศอินเดียในการยกยอดฉัตรที่ประเทศอินเดียอีกครั้งหนึ่ง
กิจกรรมสุดท้ายที่เราเข้าร่วม คือ
การบรรยายธรรมของแม่ชีโอ๊ะ
เป็นแม่ชีรุ่นใหม่ ที่สอนให้เข้าใจชีวิต แล้วใช้ video present ต่างๆ ที่มีอยู่มานำเสนอได้อย่างชัดเจน แล้ว ก็ให้พวกเรามีความสุขเล็กๆ
ด้วยการนวดคนข้างหน้า แล้วก็ให้เขานวดเรากลับด้วยอีกทีหนึ่ง พร้อมกับนั่งสมาธิโดยการใช้เพลง
ดั่งดอกไม้บาน
ทำให้ใจเราสงบเย็นแล้วเป็นการยืดเส้นยืดสายที่ดีมากอย่างหนึ่ง
จบเที่ยง
เราก็ลงทะเบียนออกแล้วเขียนใบประเมินเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งในรอบนี้มีผู้ชายเพียง 4 คนเท่านั้น
ขอบคุณทุกท่านที่ทำให้ผมได้มาในครั้งนี้
ซึ่งเราเองก็ตั้งใจมานานแล้ว
ตั้งแต่ที่ได้รู้จักเสถียรธรรมสถานแล้วเคยส่งพนักงานที่เราดูแลให้เขาได้มาฝึกปฏิบัติธรรมมาเมื่อ
3 ปีที่แล้ว
มาครั้งนี้เราเองก็สัมผัสแล้วฝึกด้วยตนเอง
ซึ่งเราก็สัญญาว่าจะนำไปฝึกต่อที่บ้านเท่าที่เราจะทำได้
เพราะเป็นการตั้งสติให้กับตัวเรา และบุคคลรอบข้าง