2557/11/22

กว่าทศวรรษที่ได้รู้จัก บุญถาวร



สุวัฒน์  พรฤกษ์งาม ( พี่จื้อ )  จบจากมหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์ ศึกษาภาษาจีนเพิ่มเติมเป็นระยะเวลา 1 ปี และได้เข้ามาร่วมงานกับ บุญถาวร ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่การตลาด ในปี พ.ศ.2545

จุดเด่นของ 
บุญถาวร 
คือความเป็น Specialist 
ในด้านกระเบื้องและสุขภัณฑ์

“เทคนิคในการเพิ่มยอดขาย คือ คัดสรรตัวสินค้าที่ขายดีและสามารถขายได้ นำมาขาย แต่ในเบื้องต้นก็ขึ้นอยู่กับพนักงานทั้งหมด ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวพี่คนเดียว ตัวพี่เองนั้นพยายามจะผลักดันและกระตุ้นให้พนักงานมีภาพของตัวเองและมีเป้าหมายของตัวเองก่อน เพราะถ้าพนักงานขายไม่มีเป้าหมาย ไม่มีภาพของตัวเองในอนาคต เขาก็จะทำงานแบบผ่านไปวันๆ ไม่รู้เป้าหมาย แต่ถ้าคนไหนที่มีเป้าหมายชัดเจน เขาก็จะเดินขายแล้วก็จะทำยอดขายได้   พี่ก็จะบอกพี่ๆ supervisor ให้ช่วยอำนวยความสะดวก ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการสต็อกสินค้า การวางสินค้า ราคาสินค้า แต่ทั้งหมดทั้งมวล ก็ขึ้นอยู่กับตัวพนักงานขายเองด้วย”

“คู่แข่งขันที่มีเพิ่มมากขึ้นถามว่ามีผลไหม??"
แน่นอนว่าต้องมีบ้างแต่มันก็เป็นความสนุกของการแข่งขันแบบเสรี ที่จะต้องมีเพื่อนๆมาร่วมแข่งขัน เพราะตราบใดที่ธุรกิจขายได้และขายดี ยังไงก็ต้องมีเพื่อนมาช่วยค้าขาย ทีนี้เราจะต้องทำยังไง เราก็ต้องดูว่าตัวเราพร้อมหรือเปล่าในสนามแข่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทีมงาน เรื่องของตัวสินค้า อันไหนที่เราสู้เขาไม่ได้เราก็ดูว่า ใช่ core business (ธุรกิจหลัก) ของเราไหม ถ้าไม่ใช่ก็ให้เขาไปเถอะ แต่ถ้าเป็น core business ของเรา เราก็ต้องหยิบขึ้นมาดูแล้วว่าเป็นที่ตรงไหน เพราะอะไรที่เรายังด้อยกว่าคู่แข่งขัน

“แล้วต้องทำอย่างไรจึงจะเหนือคู่แข่งขัน.....?”
พี่ว่าอย่าใช้คำว่าเหนือคู่แข่งเลย คือเรามองว่าเราแข่งกับตัวเองดีกว่า เหมือนเราเล่นหมากล้อม การเล่นหมากล้อมคือเราไม่ต้องไปชนะคู่แข่ง หรือกำจัดคู่แข่งขัน แต่เราจะทำอย่างไรให้ตัวเราแข็งแรง เติบโตและพัฒนาขึ้นได้ในทุกๆด้าน ถ้าเดิมที่ผ่านมาเรารู้ว่าเราบกพร่องในเรื่องไหนแล้วเราสามารถอุดรูรั่วตรงนั้นและพัฒนาให้ดีขึ้นได้น่าจะดีกว่า

ส่วนการจัดการพนักงานให้อยู่ในระเบียบ ก็ใช้การขอความร่วมมือก่อนเป็นอันดับแรก เพราะบุญถาวรเองก็มีสโลแกนที่เคยใช้ก่อนหน้านี้ว่า บุญถาวรแฟมิลี่ ซึ่งปัจจุบันนี้ใช้เป็น บุญถาวรไอเดียดีๆมีได้ไม่รู้จบ ส่วนการจะเป็นบุญถาวรแฟมิลี่ได้นั้น ก็ต้องมีการพูดคุยกันก่อน ขอความร่วมมือกันก่อน  ถ้าขอความร่วมมือแล้วผู้ที่รับสารหรือทีมงานเข้าใจแล้วปฏิบัติตาม ก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าเกิดไม่ปฏิบัติตามก็ต้องว่ากันไปตามกฎ กติกามารยาท ตามลำดับที่ตั้งไว้ พี่ก็ใช้วิธีง่ายๆแบบนี้แหละจะให้มาตีหน้ายักษ์ทุกวันคงไม่ไหว

“สำหรับผู้ที่อยากร่วมงานกับบุญถาวร"
เพียงแค่คุณมีความมุ่งมั่นตั้งใจ ก็ walk in เข้ามาสมัครได้เลย แล้วก็ดูว่าตัวเองมีเป้าหมายอะไร ถ้าสนใจในเรื่องการขาย ก็คงเน้นรายได้เป็นหลัก แต่ถ้าสนใจในเรื่องของความคิดสร้างสรรค์เป็นหลัก ก็จะไปอยู่ด้านดีไซน์เนอร์ แต่บุญถาวรเอง ก็ไม่ได้เน้นหนักไปทางด้านดีไซน์เนอร์ ทางเราพยายามครีเอททางด้านนี้ ซึ่งถ้าเกิดคนกลุ่มนี้ได้เข้ามาร่วมงาน และสามารถพัฒนาตัวเองไปทางด้านการขายได้ก็จะมีศักยภาพมากกว่าพนักงานขายทั่วไป ซึ่งแน่นอน nobody perfect

หลายๆมหาวิทยาลัยพยายามสร้างคนให้เก่งทั้ง 2 ด้าน ทั้งด้านดีไซน์เนอร์และด้านการขาย แต่ถามว่ายากไหม พี่ว่ายากนะ เพราะแต่ละกลุ่มก็จะมีความเป็นตัวเองในด้านของเขา แต่เราจะทำอย่างไรให้ทั้ง 2 กลุ่มนี้รวมเป็นหนึ่ง หรือทำอย่างไรให้ทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น เพราะถ้าคน 2 กลุ่มนี้ทำงานร่วมกันได้ เมื่อมีลูกค้าเข้ามาแล้วเขาสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ ทั้งในด้านความคิดสร้างสรรค์และมีความชำนาญในด้านการขาย ก็มีโอกาสที่จะเพิ่มยอดขายได้มากขึ้น

อยากฝากถึงคนที่ร่วมงานกันเรื่องการเคารพสถานที่หรือเข้าใจในชีวิตการทำงาน คือ ที่ทำงานไม่ใช่ที่บ้าน อยากให้แยกที่ทำงานกับที่บ้านให้ได้ แต่แน่นอน 2 เรื่องนี้เราต้องบาลานซ์กันให้ได้ work & life ฉะนั้นการที่คุณมาทำงาน คุณมีหน้าที่อะไรบ้างและทำในสิ่งที่นอกเหนือจากสิ่งที่มอบหมาย

ถ้าเกิดสงสัยอะไรให้ถามอย่าเก็บไว้และคิดเอาเองว่า ถามไปก็เท่านั้น เกรงใจพี่ คือพี่อยากให้ถามเยอะๆ เพราะการถามจะทำให้เกิดการคิด ส่วนการคิดจะทำให้เกิดวิธีการทำงานใหม่ๆ เพราะฉะนั้นเองไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องการถาม ถามได้แต่อยากให้ถามเป็นลำดับขึ้นมาก่อน เช่นถาม leader ก่อน ถาม supervisor แล้วก็เรียงลำดับขึ้นเรื่อยๆมา เพราะถ้ามาที่พี่เลยหมดทุกเรื่องคงไม่ไหว

สำหรับผู้ที่เริ่มต้นใหม่ กับบุญถาวรก็คงต้องมีการทบทวนอย่างเสมอ พยายามให้ความสนใจกับสิ่งนั้นบ่อยๆ อย่างเช่น การเดินเก็บกระเบื้อง  พี่มองว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก คือ หลายคนไม่รู้ว่าการเดินเก็บกระเบื้องทำให้คุณได้เรียนรู้  เพราะตัวพี่เองเวลาเดินเก็บกระเบื้องพี่ก็จะจำได้ว่า สินค้าตัวนี้ชื่ออะไร ลักษณะหน้าตาเป็นอย่างไร ยี่ห้ออะไร เผื่ออนาคตลูกค้ามาถาม อาจจะเป็นตัวที่เราเคยเก็บก็เป็นได้ อย่างน้อยเราก็ได้ผ่านตา จึงเป็นโอกาสที่เราจะปิดการขายได้เร็วขึ้น คือทุกอย่างถ้าเรามองให้เป็นเรื่องดีเป็นเรื่องสนุก เราก็จะสนุกกับสิ่งนั้น ถ้าเรามองว่าเป็นเรื่องไม่ดีมันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร แล้วพวกที่ชอบมองว่ากฎมีไว้แหกพี่ก็เข้าใจว่ามันท้าทายแต่ทุกอย่างก็ต้องมีลิมิต เราอยู่กับคนหมู่มากมันก็ต้องมีกฎกติกาไว้ควบคุมเพราะไม่อย่างนั้นเองสังคมก็จะอยู่ยากวุ่นวายพอสมควร

"กิจกรรม ONE MORNING ONE PRODUCT"
พี่รู้จักกิจกรรมนี้ตั้งแต่เข้าบุญถาวรมาเลย มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งแนะนำให้ทำ พี่คิดว่าเป็นกิจกรรมที่ดีมีประโยชน์ แต่ทุกวันนี้บางคนกลับมองเป็นภาระ ซึ่งจริงๆแล้วประโยชน์หลักๆขึ้นอยู่กับตัวผู้พูดสินค้านั้นๆ คือการที่จะพูดก็จะต้องมีการศึกษาก่อนว่าเป็นอย่างไร เพราะอย่างนั้นใครที่ได้รับเกียรติให้มาพูดคุณรู้ไหมว่าคุณได้เรียนรู้ ได้ความรู้ ได้มากยิ่งกว่าทองอีก เพราะความรู้จะไม่มีวันสูญหายจะอยู่กับเราไปตลอด อย่างน้อยคุณก็จะได้รู้จัก ได้ผ่านหูผ่านตาบ้าง จึงอยากจะฝากไว้ว่าให้มองเป็นเรื่องสนุก คนพูดก็จะได้ประโยชน์ คนฟังก็จะสนุกและได้ประโยชน์ไปด้วย แต่ไม่ซึมซับเท่าคนที่พูด เพราะอย่างนั้นเอง จึงอยากจะให้ทำเหมือนเป็นการเล่นเกมส์ และตั้งใจทำออกมาให้ดีที่สุดมีสีสัน แล้วยิ่งถ้าเกิดเรามองว่าเป็นเรื่องสนุกน้ำเสียงการพูดการนำเสนอจะออกมาสนุกสนาน  อย่ามองว่าเป็นภาระ ถ้ามองว่าเป็นภาระแล้วตัวเราเองจะพูดไม่น่าสนใจ เปรียบง่ายๆให้มอง one morning เป็นผู้หญิงเราจะศึกษายังไง คนที่เข้ามาจีบจะเป็นยังไงหรือตัวผู้หญิงเองจะพัฒนาตัวเองยังไงให้มีเสน่ห์ มีสีสัน คนเราจะดูดีได้จะต้องมาจากข้างใน ไม่จำเป็นต้องดูรูปกายภายนอกก่อน บางคนสวยมาก แต่ก็เท่านั้น บางคนดูดีและเก่งด้วยมันก็ยิ่งดีไปกันใหญ่
one morning ก็เช่นเดียวกันจะทำยังให้ดูดีมีเสน่ห์น่าสนใจ เพราะอย่างนั้นก็ต้องฝากให้ทุกคนพยายามทำ สาขาเกษตร-นวมินทร์เรามีแค่ จันทร์-พุทธ-ศุกร์ และอีกอย่างก็เป็นการสร้างสัมพันธภาพ สร้างสังคมระหว่างเจ้าของสินค้า ( PC ) กับพนักงานขาย ( Sale) ที่บางคนอาจจะไม่เคยได้คุยกันหรืออาจจะไม่เคยรู้จักตัวสินค้าตัวนี้เลย จะได้รู้จักกันมากขึ้นส่วนคนฟังก็ตั้งใจฟังเถอะ ก็อยากจะฝากไว้


"C & D เทคนิคการเพิ่มยอดขายสำหรับเด็กรุ่นใหม่กับชีวิตดิจิตอล"
เด็กรุ่นใหม่ค่อนข้างจะเป็นดิจิตอลเพราะ Facebook ,Line เป็นประโยคสั้นๆอ่านปุ๊บแล้วก็ผ่านแล้วยิ่งมี copy & paste คนส่วนใหญ่ก็จะแค่ copy และก็ paste ลงไป โดยลืมตัวว่ามันจะส่งผลอะไรมาก  หรือ แค่ copy และส่งๆ ต่อๆกันไป แต่ขาดการคิดวิเคราะห์

อยากให้คุณดูว่าของเก่าเป็นยังไง แล้วนำมาพัฒนาได้ไหม โดยการพัฒนาในส่วนที่เหมาะกับตัวเรา บางสิ่งบางอย่างไม่เหมาะกับตัวเรา เราก็ไม่ต้องนำมา  ดังนั้นจึงอยากฝากเรื่องการเรียนรู้และการตั้งคำถาม
การเรียนรู้คืออะไร? การเรียนรู้คือการที่คุณได้เรียนรู้สินค้า ได้อ่านข้อมูลใน facebook หรือที่ไหนก็ตามที่คุณอ่านแล้วคุณก็คิดแล้วตั้งคำถามว่าที่เค้าส่งมาจริงหรือไม่  ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น  พอเราตั้งคำถามจะเกิดการคิด แล้วการคิดจะทำให้เกิดการพัฒนา

เวลาพี่พูดกับคนทำงานทั่วไป พี่ก็จะแนะนำให้นำหลัก C&D ไปใช้ คือไม่ต้องไปคิดเยอะไปดูว่าคนอื่นเขาทำกันอย่างไร อะไรที่คนอื่นทำแล้วดีคัดลอกเขามาแล้วมาคิดว่าจะพัฒนาต่อไปได้อย่างไรให้ดีกว่า เราคงไม่ใช่ R&D คือ Research(การวิจัย) & Develop (การพัฒนา ) คือการค้นคว้าจากสิ่งที่ไม่มีเลยนี่คือการวิจัย แต่นั่นคือนักวิทยาศาสตร์ แต่เราคือคนทำงาน สังคมมีอะไรอยู่แล้วมากมายบนโลกใบนี้ เราแค่คัดลอกแล้วนำมาพัฒนาแล้วเราก็จะเกิดการเรียนรู้และตั้งคำถาม ยกตัวอย่างง่ายๆอย่างลายกระเบื้องก็เห็นเป็น C&D เยอะมาก แต่ตลาดก็เป็นคนละกลุ่มกัน ตลาดคนไทยก็ราคาคนไทย ส่วนกระเบื้องยุโรปก็มีตลาดของกระเบื้องกลุ่มยุโรปอยู่แล้วไม่ต้องห่วงว่า copy กันมาเยอะแล้วจะขายกันไม่ได้
-----