2554/09/28

CARS 2 ให้อะไรมากกว่าการ์ตูน

เข้าเมืองนอก ตั้งแต่ มิ.ย.ที่ผ่านมา.. แต่กว่าจะเข้าฉายเมืองไทยก็รอปิดเทอม หน้าฝนนี่แหล่ะ
มีอะไรสนุกๆ และการกลับมาครั้งนี้ เพื่อช่วยกอบกู้โลก.. และร่วมเป็นสายลับที่มีอารมณ์ขัน
ฮา และสนุกหรรษา



2554/09/16

ไฟฟ้าช็อต ผลกระทบ อุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด Electric Shock


ไฟฟ้าช็อต เป็นอุบัติเหตุที่พบได้บ่อยในสถานที่ต่าง ๆ การใช้ไฟฟ้า อาจเกิดจากความประมาทเผลอเรอ การใช้เครื่องไฟฟ้าผิดวิธี หรือจากการรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เป็นต้น

ผ่านเหตุการณ์ระทึกขวัญ คนงานโดนไฟฟ้าช๊อต ขณะซ่อมใบพัดกังหันน้ำเติมอากาศ ในบ่อน้ำ และมีการเปิดกระแสไฟฟ้าโดยประมาท.. ทำให้ คนงานถูกช๊อต.. หมดสติ และรีบนำส่ง รพ. นับว่าโชคดีที่อาการดีขึ้นแล้ว และปลอดภัยดี..
ดังนั้น จึงนำเกร็ดความรู้ มาฝาก.. เผื่อให้ใครเจอกับเหตุการณ์เหล่านี้จะได้ตั้ง สติได้


คนที่ถูกไฟฟ้าช็อตอาจมีอาการรุนแรงแตกต่างกันไป (ตั้งแต่บาดแผลไหม้เพียงเล็กน้อยจนกระทั่งตาย) ขึ้นกับปัจจัยหลายอย่างเช่น

1. ลักษณะของผิวหนังส่วนที่สัมผัสถูกไฟฟ้า ถ้าผิวหนังแห้งจะมีความต้านทานสูง เกิดอันตรายน้อย แต่ถ้าผิวหนังเปียกชื้น (เช่น มีเหงื่อหรือเปียกน้ำ) หรือมีบาดแผลสด (เช่น ถูกมีดบาด เข็มแทง หรือแผลถลอก) จะมีความต้านทานต่ำ เกิดอันตรายได้สูง

2. ชนิดของกระแสไฟฟ้า ไฟฟ้ากระแสตรง (directcurrent) เช่น ไฟฟ้าจากแบตเตอรี่
หรือถ่านไฟ จะทำอันตรายได้น้อย ส่วนไฟฟ้ากระแสสลับ (alternting current) จะทำอันตรายได้มาก กระแสไฟฟ้าที่มีความถี่ต่ำ (เช่น ขนาด 50-60 รอบต่อวินาที) จะมีอันตรายร้ายแรงกว่าความถี่สูง กระแสไฟฟ้าที่ใช้ตามบ้านถือว่าเป็นชนิดที่มีอันตรายสูง

3. ตำแหน่งและทางเดินของกระแสไฟฟ้าในร่างกาย ถ้าไฟฟ้าวิ่งจากแขนไปแขน หรือ
แขนไปเท้า จะมีอันตรายกว่าจากเท้าลงดิน เพราะสามารถวิ่งผ่านและทำอันตรายต่อหัวใจ (ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ) หรือถ้ากระแสไฟฟ้าสามารถวิ่งผ่านสมอง (ทำให้หยุดหายใจ) วิ่งผ่านกล้ามเนื้อ (ทำให้ชัก กระดูกหักหรือกล้ามเนื้อเป็นอัมพาต)


อาการขึ้นกับปัจจัยต่างๆ ดังกล่าว
บางคนเมื่อถูกไฟฟ้าช็อต อาจเพียงแต่ทำให้ล้มลงกับพื้น (ถ้าตกจากที่สูงก็อาจทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้) หรือของหล่นจากมือ ถ้าเป็นรุนแรงอาจมีอาการฃักเกร็งของกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย แล้วตามด้วยอาการตื่นเต้น หายใจเร็ว และหมดสติ อาจหยุดหายใจหรือหัวใจเต้นผิดจังหวะ เป็นอันตรายถึงตายได้ทันที

บางคนอาจหมดสติชั่วครู่ เมื่อฟื้นขึ้นมาอาจรู้สึกปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ และมีความรู้สึกหวาดผวาได้

นอกจากนี้ อาจทำให้เกิดบาดแผลไหม้ตรงผิวหนังและกินลึกเข้าไปในเนื้อเยื่อบริเวณใกล้เคียง ทำให้เป็นแผลไหม้สีเทาและไม่รู้สึกเจ็บ ถ้าบาดแผลมีขนาดใหญ่ อาจทำให้เกิดภาวะขาดน้ำ เช่นเดียวกับบาดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก และอาจมีการติดเชื้อแทรกซ้อนได้

บางคนอาจมีกระดูกสันหลัง และกระดูกส่วนอื่น ๆ หัก เนื่องจากการชักกระตุก หรือตกจากที่สูง บางคนอาจมีภาวะเม็ดเลือดแดงแตก มีอาการซีดเหลือง

การปฐมพยาบาล
เมื่อพบคนที่ถูกไฟฟ้าช็อต ควรรีบให้ความช่วยเหลือ ดังนี้
1. รีบปิดสวิตช์ไฟ หรือถอดปลั๊กไฟทันที

2. ถ้าทำไม่ได้ จำเป็นต้องช่วยให้คนที่ถูกไฟฟ้าช็อตหลุดออกจากสายไฟที่มีกระแสไฟวิ่งอยู่ โดยผู้ที่ทำการช่วยเหลือจะต้องกระทำด้วยความระมัดระวังอย่างสูงเขาต้องยืนอยู่บนฉนวนแห้ง ๆ เช่น ไม้กระดาน กระดาษ หนังสือพิมพ์ ผ้าห่ม เสื่อ ผ้ายาง หรือผ้า แล้วใช้ด้ามไม้กวาด ไม้กระดาน ขาเก้าอี้ หรือไม้เท้าไม้ที่แห้ง เขี่ยสายไฟให้พ้นจากผู้ป่วย หรือดันร่างกายส่วนที่สัมผัสไฟให้หลุดออกจากสายไฟห้ามใช้โลหะ หรือวัตถุที่เปียกน้ำเป็นอันขาด ควรใช้ไม้หรือฉนวนไฟฟ้าที่แห้ง และห้ามมิให้แตะต้องตัวผู้ป่วยโดยตรงจนกว่าจะหลุดพ้นออกจากสายไฟเสียก่อน

3. ควรตรวจดูการหายใจ ถ้าผู้ป่วยหยุดหายใจให้ทำการเป่าปากช่วยหายใจทันที ถ้าหัวใจหยุดเต้น (คลำชีพจรไม่ได้) ให้ทำการนวดหัวใจพร้อมกันไป จนกว่าจะหายใจได้เอง
ถ้าผู้ป่วยหายใจได้เอง แต่ยังหมดสติควรจัดผู้ป่วยให้อยู่ในท่าพักฟื้น และให้ทำการปฐมพยาบาลเช่นเดียวกับผู้ป่วยหมดสติจากสาเหตุอื่น

4. รีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลด่วน และควรตรวจดูการหายใจอย่างใกล้ชิด ถ้าหยุดหายใจ
ควรเป่าปากช่วยมาตลอดทางจนกว่าจะถึงโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุด

2554/09/09

อุโมงค์ผาเมือง ความจริงหรือความเท็จ




ปีพุทธศักราช 2110 ณ นครผาเมืองแห่งอาณาจักรเชียงแสนอันรุ่งเรือง วันหนึ่งหลังจากเกิดวิบัติการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ทั้งอัคคีภัยครั้งใหญ่หลวง แผ่นดินไหวอันรุนแรง และโรคร้ายระบาดคร่าชีวิตประชาชนไปกว่าครึ่งนคร ก็เกิดคดีฆาตกรรมปริศนาที่น่าสะพรึงกลัวและซับซ้อนซ่อนเงื่อนสุดที่จะค้นหาความจริงได้

“โจรป่าสิงห์คำ” (ดอม เหตระกูล) ผู้โหดร้ายที่สุดในแผ่นดินถูกจับได้ในคดีฆาตกรรม
“ขุนศึกเจ้าหล้าฟ้า” (อนันดา เอเวอริงแฮม) และข่มขืน “แม่หญิงคำแก้ว” (เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์) ภรรยาของขุนศึกในป่านอกเมือง ขณะที่สองสามีภรรยาเดินทางออกจากเมืองเพื่อไปเยี่ยมญาติที่นครเชียงคำ

จากคำให้การของโจรป่าและแม่หญิง สร้างความปั่นป่วนและพิศวงงงงวยให้แก่ “เจ้าผู้ครองนคร” (ศักราช ฤกษ์ธำรงค์) และประชาชนผู้มาฟังคำให้การเป็นอย่างยิ่ง เพราะทั้งคู่ต่างยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานว่าตนเองเป็นผู้ฆ่าขุนศึก เจ้าหลวงจึงเรียก “ผีมด-ร่างทรง” (รัดเกล้า อามระดิษ) มาเข้าทรงดวงวิญญาณของขุนศึกเพื่อค้นหาความจริง แต่แล้ววิญญาณของขุนศึกกลับให้การผ่านร่างทรงว่า ตนต่างหากที่ฆ่าตัวตายเอง!!!

เหตุการณ์ทั้งหมดถูกถ่ายทอดผ่านการพบเห็นและสนทนาของ “พระหนุ่ม” (มาริโอ้ เมาเร่อ), “ชายตัดฟืน” (เพ็ชรทาย วงษ์คำเหลา) และ “สัปเหร่อ” (พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง) ภายในอุโมงค์ผีที่ผาเมือง ซึ่งไม่อาจเข้าใจได้เลยว่า เหตุใดทั้ง 3 คนจึงให้การปิดบังความจริงที่เกิดขึ้น และ “ความจริง” ทั้งหมดคืออะไรกันแน่???

?? โจรป่าสิงห์คำ ได้เกิดกิเลสและปลุกปล้ำจริง
?? ขุนศึกเจ้าหล้าฟ้า เสียชีวิตจริง
?? ดาบถูกนำไปขายจริง


***********************
คนอยากเห็นในสิ่งที่เห็น อยากได้ยินในสิ่งที่ได้ยิน
เกียรติภูมิ และศักดิ์ศรี ที่เป็นสิ่งจอมปลอมขึ้นมา
ความจริง ของมนุษย์ ยังมี รัก โลภ โกรธ หลง




ไรฝุ่น กับ โรคภูมิแพ้



ไรฝุ่น เป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่อยู่ในตระกูล Phylum Arthopoda เช่นเดียวกับแมลงและแมง แต่มีลักษณะเด่นคือมีขนาดเล็กมากจนไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า เนื่องจากมีขนาดเพียง 0.3 มิลลิเมตร ชอบอาศัยอยู่ในที่มีอุณหภูมิ 25-30 องศาเซลเซียสและอยู่ในที่มีความชื้นสูงร้อยละ60-70 ไม่ชอบแสงสว่าง ดังนั้นในบ้านเรือนจึงพบไรฝุ่นได้ตามในที่นอน หมอน ผ้าห่ม พรหม บนโซฟา ผ้าม่าน หรือตุ๊กตาที่ใช้วัสดุภายในเป็นเส้นใย

โดยทั่วไปแล้วไรฝุ่นจะมีวงจรชีวิต 5 ระยะ คือเมื่อตัวไรเข้าสู่ช่วงเจริญวัยเต็มที่จะเริ่มทำการผสมพันธุ์ ซึ่งหลังจากผสมพันธุ์ได้ 3-4 วัน ตัวเมียจะเริ่มวางไข่เฉลี่ยวันละ 3-4 ครั้ง แต่ละครั้งสามารถวางไข่ได้เพียงครั้งละ 1 ฟอง โดยตลอดชีวิตของไรฝุ่น 1 ตัว จะสามารถออกไข่ได้ถึง 80-100 ฟอง จากนั้นไข่จะเริ่มฟักเป็นตัวอ่อนภายในเวลา 8-12 วัน เข้าสู่ระยะวัยรุ่น 1 จะมีขา 6 ขา และทำการลอกคราบหลายครั้ง ซึ่งในระยะนี้จะไม่มีการเคลื่อนไหว เมื่อเริ่มสร้างผิวตัวและเจริญเข้าสู่ระยะวัยรุ่น 3 จะมีขาครบ 8 ขา แล้วก็พัฒนาเข้าสู่ระยะตัวเต็มวัยที่มีลวดลายคล้ายนิ้วมือบนผิวตัว ไรฝุ่นจะมีช่วงอายุไขทั้งหมดเพียง 2-4 เดือน แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของอาหาร อุณหภูมิและความชื้นในอากาศด้วย

ไรฝุ่นมีชีวิตอยู่ได้โดยการกินเศษขี้ไคล ขี้รังแค สะเก็ดผิวหนังเป็นอาหาร โดยเศษผิวหนัง 1 กรัมสามารถเลี้ยงไรฝุ่นได้ 1,000,000 ตัวนานถึง 1 สัปดาห์ อุณหภูมิที่เหมาะสมคือ 25-30°C และความชื้นสัมพัทธ์ 75-80% สารก่อภูมิแพ้หลัก มักอยู่ในรูปของมูลและคราบของไรฝุ่น ซึ่งสามารถลอยปะปนอยู่ในอากาศและสูดดมเข้าไปได้ WHOได้กำหนด ระดับสารก่อภูมิแพ้ 2 ไมโครกรัม/ ฝุ่น 1 กรัม หรือไรฝุ่น 100-500 ตัว/ ฝุ่น 1 กรัม เป็นระดับมาตรฐานที่สามารถกระตุ้นให้ผู้ป่วยมีอาการหอบหืด และ 10 ไมโครกรัม/ ฝุ่น 1 กรัม จะกระตุ้นให้ผู้ป่วยมีอาการหอบหืดอย่างเฉียบพลันได้ ในประเทศไทยพบสารก่อภูมิแพ้ เฉลี่ย 11 ไมโครกรัม/ ฝุ่น 1 กรัม และในกรุงเทพฯ พบปริมาณของสารก่อภูมิแพ้ เฉลี่ย 5 ไมโครกรัม/ ฝุ่น 1 กรัม

การป้องกันกำจัดไรฝุ่น
1. ทิ้งเครื่องนอน พรม เฟอร์นิเจอร์ที่ภายในทำจากวัสดุเส้นใย หรือนุ่นที่มีอายุการใช้งานหลายปี พบว่า ที่นอนที่ทำจากนุ่นจะพบไรฝุ่นมากที่สุด รองลงมาคือ ที่นอนใยสังเคราะห์ เสื่อ และที่นอนใยมะพร้าว อายุการใช้งานของที่นอนมากขึ้นก็จะพบปริมาณของไรฝุ่นมากขึ้นตามลำดับ

2. ใช้ผ้าที่มีเส้นใยสานกันแน่น พลาสติก หรือเส้นใย vinyl และ nylon หรือเคลือบด้วยสารป้องกันไรฝุ่น

3. การดูดฝุ่น สามารถเคลื่อนย้ายตัวไรฝุ่นออกจากที่นอน หรือพรมได้น้อยกว่า 10 %
4. การซักเครื่องนอนเป็นประจำด้วยน้ำที่มีอุณหภูมิอย่างน้อย 55 °C สามารถฆ่าตัวไรฝุ่นและกำจัดสาร ก่อภูมิแพ้ออกจากเครื่องนอนได้ ส่วนการซักด้วยน้ำเย็นหรือการซักผ้าตามปกตินั้น แม้จะไม่สามารถฆ่าไรฝุ่นได้ แต่ลดสารก่อภูมิแพ้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

5. การใช้สารเคมีป้องกันกำจัดไรฝุ่น ที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายคือ benzyl benzoate, Acarosan โดยมักฉีดพ่นลงบนพรม พื้นห้อง และเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ แต่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้อาศัย


ข้อมูลจาก :
ศูนย์สื่อสารวิทยาศาสตร์ไทย ส่วนงานกลาง สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ

2554/09/05

5 กันยา รำลึก โป๊ยเซียน


เทพเจ้าแห่งโชคลาภ โป๊ยเซียน
คำว่า "โป๊ยเซียน" ในภาษาจีนกลางมีความหมายถึง "เซียนแปดองค์" ตามความเชื่อในลัทธิเต๋าของจีนเป็นเทพเจ้าที่ชาวจีนนับถือมาช้านาน นับเป็นหนึ่งในบรรดาเซียน นับร้อยๆองค์ของจีน แต่เทพทั้งแปดนี้นับว่าเป็นที่รู้จักดีและได้นับการนับถืออย่างกว้างขวางมาก โดยตามศาลเจ้าของหมู่บ้านชาวจีนมักจะมีแท่นบูชาที่ปูด้วยผ้า มีภาพวาดเซียนทั้งแปดรวมเป็นกลุ่มบ้างก็เป็นภาพเซียนนั่งเรือไปยังงานเลี้ยงของพระนางซีอ๋อง (งานเลี้ยงของทวยเทพและเซียนต่างๆ)

สมาชิกทั้ง 8 ในกลุ่มของโป๊ยเซียนนั้นแตกต่างกันไปตามยุคสมัย แต่ปัจจุบันนี้โป๊ยเซียนมีด้วยกันดังนี้ เซียนแต่ละองค์ในบรรดา 8 องค์นี้ มีประวัติที่มาและอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์แตกต่างกันไป ในปัจจุบันทั้งชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนยังนิยมนับถือบูชาโป๊ยเซียนอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะผู้ที่มีอาชีพค้าขาย...
ซึ่งเทพทั้ง 8 องค์นี้ประกอบไปด้วย...

ลือต้งปิง
ลื่อต้งปิงหรีอลื่อโจ้ว เกิดวันที่ 14 เดือนสี่ สมัยราชวงศ์ถัง เป็นคนเฉลียวฉลาดแต่เด็ก เคยไปสอบจิ้นซื่อสองครั้งแต่ก็สอบตก เมื่อทิก๋วยลี้
ทิก๋วยลี้ เดิมแซ่ "หลี่" ชื่อ "เหียน" เกิดยุคชุนชิวเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่สติปัญญาเฉลียวฉลาดหน้าตาดี ไม่ชอบทำมาหากินหรือมีครอบครัวเหมือนชาวบ้าน ชอบทางบำเพ็ญตบะถือศีลกินเจ เห็นว่าอำนาจวาสนา,ลาภยศสรรเสริญ,สมบัติพัสถานล้วนเป็นภาพมายาดุจเมฆหมอกลอย กลางอากาศไม่นานก็จางหายไป เมื่อหลี่เหียนพิจารณาเห็นสัจธรรมเช่นนี้ จึงตัดสินใจสละทางโลกอำลาญาติมิตรไปบำเพ็ญพรตอยู่ในถ้ำ จนสามารถถอดกายทิพย์และจิตวิญญาณออกจากร่างได้ วัน หนึ่งมีนัดต้องไปเข้าเฝ้าลีเลากุนผู้เป็นอาจารย์ที่เขาหัวซัน จึงฝากลูกศิษย์ให้ดูแลร่างเพื่อจะไปแต่กายทิพย์ ส่วนร่างทิ้งไว้ถ้าเกิน 7 วันยังไม่กลับให้เผาร่างได้เลย เมื่อท่านถอดจิตไปแล้ว มารดาของผู้เป็นศิษย์เกิดป่วยหนักคนทางบ้านมาส่งข่าวให้รีบกลับ ศิษย์ไม่อาจทนอยู่เฝ้าร่างได้ จึงนำร่างไปเผาในวันที่ 6 เมื่อท่านกลับมาในวันที่ 7 ไม่พบลูกศิษย์ไม่เห็นร่างของตนก็เข้าใจ และไม่เคืองไม่แยแสอะไร ไปเข้าร่างขอทานขาพิการที่เพิ่งเสียชีวิตร่างใหม่ของท่านจึงขาพิการข้าง หนึ่งดังในรูปทุกวันนี้ เวลาเดินใช้ไม้เท้าเหล็กค้ำคนจึงเรียกท่านว่า "ทิก๋วยลี้"

ฮั่นจงหลี
ฮั่นจงหลี เดิมแซ่ "จงหลี" ชื่อ "ฉวน" มีชีวิตในสมัยฮั่น เลยเรียกกันว่าฮั่นจงหลี เป็นบุตรของแม่ทัพจงหลี จาง วันที่เกิดมีแสงสว่างจ้าไปทั้งจวนแม่ทัพผู้คนตกใจคิดว่าไฟไหม้วิ่งไปยังจวน จะดับไฟ พอไปถึงไม่เห็นมีอะไรมีแต่ฮูหยินภรรยาแม่ทัพคลอดบุตรเป็นชาย มีลักษณะดีผิดแผกเด็กทั่วไป เมื่อโตขึ้นได้ไต่เต้าเป็นแม่ทัพ คราวหนึ่งนำทัพไปปราบกบฏคนฮวนเกิดพ่ายศึกยับเยิน ตัวเขาหนีรอดคนเดียวเข้าไปในหุบเขาได้พบกับนักพรตชราว่ากันว่าคือ ทิก้วยลี ได้รับถ่ายทอดเคล็ดบำเพ็ญธรรมต่อมาได้บำเพ็ญเพียรจนสำเร็จเป็นเซียนในที่สุด

อายุ ได้ 64 ก็ท่องเที่ยวพเนจรไปทั่ว ระหว่างพักโรงเตี๊ยมเมืองหันเอ้อได้พบกับอาจารย์ฮั่นจงหลีทั้งสองสนทนา เรื่องธรรมะถูกอัธยาศัย ลื่อต้งปิงถอนใจว่าชีวิตช่างอาภัพสอบจิ้นซื่อไม่ได้สักครั้งฮั่นจงหลีเอา หมอนในย่ามยื่นให้พร้อมกล่าวว่า "เจ้าจงหนุนหมอนใบนี้ จะทำให้ทุกอย่างสมหวัง" ลื่อต้งจึงหนุนหมอนหลับไม่รู้ตัว ขณะนั้นเจ้าของโรงเตี๊ยมกำลังนึ่งข้าวเกาเหลียงอยู่ ลื่อต้งปิงได้ฝันเห็นอนาคตว่าชั่วครู่เดียวชีวิตขึ้นๆลงๆเปลี่ยนแปลงมากมาย ตั้งแต่สอบได้จิ้นซื่อเป็นนายอำเภอเมืองลั่วหยังได้เลื่อนตำแหน่งหลาย ครั้งกระทั่งเป็นแม่ทัพรบชนะข้าศึก มีอำนาจวาสนามั่งมีศรีสุข 50 ปี เป็นอัครมหาเสนาบดี 10 ปีต่อมาถูกปลดออกจากตำแหน่งชีวิตต้องตกระกำลำบาก

เมื่อตื่นขึ้นฮั่นจงหลีกล่าวว่าเกาเหลียงยังไม่สุกฝันจบชั่วชีวิต ลื่อต้งปิงแปลกใจที่อาจารย์รู้ความฝัน ฮั่นจงหลีว่าชีวิตงคนก็เป็นเช่นนี้แหละ ลื่อต้งปิงจึงปลงตกละกิเลสขอปวารณาเป็นศิษย์ ฮั่นจงหลีได้นำลื่อต้งปิงไปบำเพ็ญเพียร ที่เขานกกระเรียนและถ่ายทอดเคล็ดลับให้จนสำเร็จเป็นเซียนในเวลาต่อมา

เหอเซียนโกว
เหอเซียนโกว เดิมชื่อ "ฮ่อค้วง" เป็นนางฟ้าหนึ่งเดียวในคณะแปดเซียน เกิดในสมัยราชวงศ์ถังเป็นชาวเมืองกวงโจว เป็นคนใจบุญและฉลาด วันหนึ่งได้พบกับเซียน ลื่อต้งปิง เซียนเห็นนางและส่งผลท้อให้เมื่อกินผลท้อนั้นแล้วก็ไม่รู้สึกหิวอีก และยังสามารถทำนายทายทักโชคชะตาของคนอื่น คืนวันหนึ่งเทพยดาได้มาเข้าฝันบอกให้นางกินแป้งฮุนบ้อ ทำให้ตัวเบาและไม่ตาย เมื่อตื่นขึ้นนางก็ลองทำตามในฝัน หลังจากกินแป้งฮุนบ้อแล้วปรากฏว่าตัวเบาเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วกว่าปกติ หลังจากนั้นมักขึ้นเขาลงเขาอยู่เสมอขากลับยังนำผลไม้ต่างๆมาฝากมารดาเป็นประจำ ต่อมาข่าวลอยไปถึงในวังพระนางบูเช็กเทียนได้ส่งคนไปเชิญมาเข้าเฝ้า ระหว่างทางปรากฏว่านางหายตัวไป คณะเชิญค้นหาเท่าใดก็ไม่พบ ปรากฏภายหลังว่ามีคนเห็นนางขี่เมฆลอยอยู่บนฟ้าจึงรู้ว่าได้สำเร็จเป็นเซียนไปแล้ว


จางกั๋วเหล่า
ตำนานหนึ่งว่า จางกั๋วเหล่า เป็นคนสมัยถังเป็นนักพรตจำศีลภาวนาที่จงเถียวซัน ไปไหนมาไหนมักจะขี่ลาเผือกกลับหัวโดยหันหน้าไปทางหางลาเป็นปริศนาธรรมลานี้เป็นลาวิเศษ เวลาไม่ใช้สามารถเก็บพับใส่ในกระเป๋าดั่งกระดาษ เวลาจะขี่เอาน้ำพ่นกลายเป็นลาดังเดิม อีกตำนานหนึ่งก็ว่าในสมัยดึกดำบรรพ์มีพญาค้างคาวเผือก ตัวหนึ่งได้จำศีลบำเพ็ญเพียรอยู่ในถ้ำจนสำเร็จเป็นเซียน ได้กลายร่างเป็นชายชราผิวพรรณผ่องใสแข็งแรงคือจางกั๋วเหล่านั่นเอง

หลันไฉ่เหอ
หลันไฉ่เหอ เป็นคนสมัยฮั่นชอบใส่เสื้อผ้าขาดใส่รองเท้าข้างเดียวถือกรับไม้ยาวฟุตเศษ เที่ยวเดินร้องเพลงขอทานเรื่อยไปเพลงที่ร้องมีเนื้อเพลงเป็นคติเตือนใจคน เมื่อได้เงินก็เอามาร้อยเป็นพวงแล้ววิ่งลากไปตามถนนเชือกขาดเงินหลุดหล่นหายไปก็ไม่สนใจ มีเงินเหลือกินก็นำไปแจกจ่ายแก่คนยากจนหน้าร้อนใส่เสื้อหนา หน้าหนาว หิมะตกกลับใส่เสื้อตัวเดียวนอนบนหิมะ ต่อมา ทิก๋วยลี้ และ ฮั่นจงหลี ได้มาชวนไปบำเพียรเพียรจนสำเร็จเป็นเซียน

หันเซียงจื่อ
หันเซียงจื่อ สมญานาม ชิงฟู เกิดในสมัยถัง วันที่ 10 เดือนสิบ พ.ศ. 1320 กำพร้าพ่อแม่แต่เด็กอาศัยอยู่กับหันยู่ผู้เป็นอาซึ่งเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ นิสัยรักสันโดษชอบปลีกวิเวก วันหนึ่งท่านลื่อโจ้วได้มาโปรดจนบำเพ็ญสำเร็จเป็นเซียน หันเซียงจื่อ ยังกตัญญูโปรดหันยู่ให้ละทิ้งตำแหน่งขุนนางมาบำเพ็ญธรรมใช้เวลาถึง 9 ปี จึงโปรด สำเร็จ

เชาก๊กกู๋
เชาก๊กกู๋ เดิมชื่อ เชาจิ่งซิว เป็นน้องชายของพระราชินีเชาฮองเฮา แห่งราชวงศ์ซ่ง เชาก๊กกู๋เป็นคนเที่ยงตรง มีเมตตารักสงบไม่ชอบความโก้หรู เนื่องจากละอายที่เชายี น้องชายถืออำนาจพี่สาวเที่ยวก่อกรรมทำชั่วจนถูกท่านเปาตัดสินประหารชีวิต จึงตัดสินใจขึ้นเขาบำเพ็ญเพียรต่อมาเขาได้พบกับ ฮั่นจงหลี และ ลื่อต้งปิง ลื่อต้งปิงถามว่าได้ข่าวว่าท่านบำเพ็ญธรรม ธรรมที่ท่านบำเพ็ญอยู่ที่ใดเชาก๊กกู๋ชี้นิ้วขึ้นฟ้า ลื่อต้งปิง ถามอีกว่า ฟ้าอยู่ที่ใดเชาก๊กกู๋ก็ชี้ที่หัวใจ ฮั่นจงหลีหัวเราะแล้วพูดว่า "ใจก็คือฟ้า ฟ้าก็คือใจ" บัดนี้ท่านค้นพบตัวเองแล้ว จากนั้นเซียนทั้งสองจึงถ่ายทอดมรรควิธีแก่ เชาก๊กกู๋ จนบำเพ็ญสำเร็จเป็นเซียนในที่สุด

เทพเจ้าจงเขว่ย ผู้ปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย
จงเขว่ย หรือ จง เขว่ย(หรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า Zhong Kui) เป็นเทพกึ่งปีศาจในตำนานเทพของจีน เชื่อกันว่าจงเขว่ยเป็นผู้กำราบปีศาจร้าย และมักจะวาดภาพจงเขว่ยไว้ที่หน้าประตูเพื่อให้เป็นผู้ปกปักษ์คุ้มครองบ้าน

ตามตำนานของจีน เล่าว่าจงเขว่ยเป็นชายหนุ่มมีความรู้ดีแต่หน้าตาอัปลักษณ์ เขาเดินทางไปกับตู้ผิงเพื่อนคนหนซึ่งเป็นคนบ้านเดียวกัน เพื่อเข้าสอบรับราชการเป็นบัณฑิตที่เรียกว่าจอหงวนในเมืองหลวง แม้ว่าจงเขว่ยจะสอบได้คะแนนสูงสุดแต่ฮ่องเต้ก็มิได้ประทานตำแหน่งจอหงวนให้ เพราะจงเขว่ยมีรูปร่างหน้าตาที่น่าเกลียดนั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนี้จงเขว่ยจึงโกรธและน้อยใจอย่างยิ่ง และฆ่าตัวตายที่บันไดพระราชวังนั่นเอง ส่วนตู้ผิงก็ช่วยทำศพเพื่อน ครั้นเมื่อตายไปแล้วจงเขว่ยได้เป็นราชาแห่งปิศาจในนรก และจะกลับบ้านเกิดในช่วงปีใหม่ (นั่นก็คือช่วง ตรุษจีนนั่นเอง) นอกจากนี้ยังได้ตอบแทนความมีน้ำใจของตู้ผิง โดยการมอบน้องสาวของเขาให้แต่งงานกับตู้ผิง

เรื่องราวของจงเขว่ยนั้นเป็นที่รู้จักกันดีในนิทานพื้นบ้านของจีน ตั้งแต่สมัยจักรพรรดิเสวียนจงในราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 712 ถึง 756) จากเอกสารในสมัยราชวงศ์ซ่ง ระบุว่าเมื่อจักรพรรดิเสวียนจงทรงพระประชวรหนักทรงพระสุบินเห็นปิศาจสองตน ตนเล็กขโมยถุงเงินไปจากพระสนมนามว่าหยางกุ้ยเฟย และขลุ่ยขององค์จักรพรรดิส่วน ปิศาจคนใหญ่นั้นสวมหมวกขุนนางมาจับปิศาจตนเล็กและดึงลูกตาออกมากินเสีย จากนั้นปิศาจตนใหญ่ก็แนะนำตนว่าชื่อจงเขว่ย และบอกว่าตนได้สาบานที่จะกำจัดอาณาจักรแห่งความชั่วร้าย เมื่อจักรพรรดิตื่นบรรทมก็ทรงหายจากอาการประชวร จากนั้นได้มีบัญชาให้นายช่างหลวง ชื่อ อู่ เต้าจื่อ วาดภาพจงเขว่ยให้เหล่าขุนนางได้ดูซึ่งภาพดังกล่าวมีอิทธิพลอย่างมากต่อภาพ วาดจงเขว่ยในสมัยต่อๆ มา

เรียบเรียงจาก
thai.mindcyber.com
http://th.wikipedia.org

2554/09/03

ขงเบ้ง สอนไว้ จำให้ดี


*อ่านคนออก บอกคนได้ ใช้คนเป็น *

*เมื่อนักการทูตพูดว่า "ใช่ หรือ อาจจะ" เขามีความหมายว่า "อาจจะ" เมื่อนักการทูตพูดว่า "อาจจะ" เขามีความหมายว่า "ไม่" เมื่อนักการทูตพูดว่า "ไม่" เขาไม่ใช่นักการทูต เพราะนักการทูตที่ดีจะไม่ปฏิเสธใคร *

*เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "ไม่" หล่อนมีความหมายว่า "อาจจะ" เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "อาจจะ" หล่อนมีความหมายว่า "ใช่ หรือ ได้" เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "ใช่ หรือ ได้" หล่อนไม่ใช่สุภาพสตรี *

*คิดทำการใหญ่ อย่าสนใจเรื่องเล็กน้อย*

*ตาสามารถมองเห็นสิ่งที่ไกลได้ แต่ไม่สามารถ มองเห็นคิ้วของตน คนส่วนใหญ่ใส่ใจกับผลได้ระยะสั้นเท่านั้น แต่คนฉลาดอย่างแท้จริงจะมองไป ยังอนาคต*
*อำนาจที่ปราศจากเหตุผล คือ อำนาจของคนพาล อำนาจที่ปราศจากความเมตตา คือ อำนาจที่นำมาซึ่งความปราชัย*

*ยามเรืองรุ่งพุ่งเปรี้ยงดุจเสียงฟ้า แม้เทวายังสยบหลบทางให้ จะหยิบดาวเดือนชมก็สมใจ คงร้องให้วันหนึ่งแน่ คราวแพ้มี *

*ตัดไผ่อย่าไว้หน่อ ฆ่าพ่ออย่าเหลือลูก คิดทำการใหญ่ ใจคอต้องเหี้ยมหาญ *

*ข้าพเจ้ายอมทรยศต่อคนทั้งโลก ดีกว่าให้คนในโลกทรยศต่อข้าพเจ้า *

*เป็นแม่ทัพแล้วไม่กล้าตัดหัวคน เป็นแม่ทัพที่ดีไม่ได้*
*คนฉลาดปราดเปรื่อง เขานั่งนิ่งสงวนคม *

*ไม่มีใครเลี้ยงอาหารใครเปล่า ๆ โดยไม่หวังผลประโยชน์ตอบแทน *

*ศัตรูที่ร้ายเหลือ ไม่เท่าเกลือเป็นหนอน *

*ความรู้ คือ อำนาจ *

*นั่งภูดูเสือ กัดกัน*
*เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมียอดคน ฉะนั้นจึงอย่าประมาท *

*ถ้าเป็นกษัตริย์ แล้ว ไม่โลภ ก็ เป็นกษัตริย์ ที่ดีไม่ได้ ถ้าเป็นนักบวชแล้วโลภ ก็ เป็นนักบวช ที่ดีไม่ได้ *

*น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำฉันใด เราก็กลายเป็นคนฉลาดในช่วงเวลาลำบากฉันนั้น*

*ดวงอาทิตย์ทำให้ทุกสิ่งกระจ่างชัด แต่ เรายังต้องทำความเข้าใจในส่วนที่มืด ซึ่งยังคงดำรงอยู่ *