เทพเจ้าแห่งโชคลาภ โป๊ยเซียน
คำว่า "โป๊ยเซียน" ในภาษาจีนกลางมีความหมายถึง "เซียนแปดองค์" ตามความเชื่อในลัทธิเต๋าของจีนเป็นเทพเจ้าที่ชาวจีนนับถือมาช้านาน นับเป็นหนึ่งในบรรดาเซียน นับร้อยๆองค์ของจีน แต่เทพทั้งแปดนี้นับว่าเป็นที่รู้จักดีและได้นับการนับถืออย่างกว้างขวางมาก โดยตามศาลเจ้าของหมู่บ้านชาวจีนมักจะมีแท่นบูชาที่ปูด้วยผ้า มีภาพวาดเซียนทั้งแปดรวมเป็นกลุ่มบ้างก็เป็นภาพเซียนนั่งเรือไปยังงานเลี้ยงของพระนางซีอ๋อง (งานเลี้ยงของทวยเทพและเซียนต่างๆ)
สมาชิกทั้ง 8 ในกลุ่มของโป๊ยเซียนนั้นแตกต่างกันไปตามยุคสมัย แต่ปัจจุบันนี้โป๊ยเซียนมีด้วยกันดังนี้ เซียนแต่ละองค์ในบรรดา 8 องค์นี้ มีประวัติที่มาและอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์แตกต่างกันไป ในปัจจุบันทั้งชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนยังนิยมนับถือบูชาโป๊ยเซียนอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะผู้ที่มีอาชีพค้าขาย...
ซึ่งเทพทั้ง 8 องค์นี้ประกอบไปด้วย...
ลือต้งปิง
ลื่อต้งปิงหรีอลื่อโจ้ว เกิดวันที่ 14 เดือนสี่ สมัยราชวงศ์ถัง เป็นคนเฉลียวฉลาดแต่เด็ก เคยไปสอบจิ้นซื่อสองครั้งแต่ก็สอบตก เมื่อทิก๋วยลี้
ทิก๋วยลี้ เดิมแซ่ "หลี่" ชื่อ "เหียน" เกิดยุคชุนชิวเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่สติปัญญาเฉลียวฉลาดหน้าตาดี ไม่ชอบทำมาหากินหรือมีครอบครัวเหมือนชาวบ้าน ชอบทางบำเพ็ญตบะถือศีลกินเจ เห็นว่าอำนาจวาสนา,ลาภยศสรรเสริญ,สมบัติพัสถานล้วนเป็นภาพมายาดุจเมฆหมอกลอย กลางอากาศไม่นานก็จางหายไป เมื่อหลี่เหียนพิจารณาเห็นสัจธรรมเช่นนี้ จึงตัดสินใจสละทางโลกอำลาญาติมิตรไปบำเพ็ญพรตอยู่ในถ้ำ จนสามารถถอดกายทิพย์และจิตวิญญาณออกจากร่างได้ วัน หนึ่งมีนัดต้องไปเข้าเฝ้าลีเลากุนผู้เป็นอาจารย์ที่เขาหัวซัน จึงฝากลูกศิษย์ให้ดูแลร่างเพื่อจะไปแต่กายทิพย์ ส่วนร่างทิ้งไว้ถ้าเกิน 7 วันยังไม่กลับให้เผาร่างได้เลย เมื่อท่านถอดจิตไปแล้ว มารดาของผู้เป็นศิษย์เกิดป่วยหนักคนทางบ้านมาส่งข่าวให้รีบกลับ ศิษย์ไม่อาจทนอยู่เฝ้าร่างได้ จึงนำร่างไปเผาในวันที่ 6 เมื่อท่านกลับมาในวันที่ 7 ไม่พบลูกศิษย์ไม่เห็นร่างของตนก็เข้าใจ และไม่เคืองไม่แยแสอะไร ไปเข้าร่างขอทานขาพิการที่เพิ่งเสียชีวิตร่างใหม่ของท่านจึงขาพิการข้าง หนึ่งดังในรูปทุกวันนี้ เวลาเดินใช้ไม้เท้าเหล็กค้ำคนจึงเรียกท่านว่า "ทิก๋วยลี้"
ฮั่นจงหลี
ฮั่นจงหลี เดิมแซ่ "จงหลี" ชื่อ "ฉวน" มีชีวิตในสมัยฮั่น เลยเรียกกันว่าฮั่นจงหลี เป็นบุตรของแม่ทัพจงหลี จาง วันที่เกิดมีแสงสว่างจ้าไปทั้งจวนแม่ทัพผู้คนตกใจคิดว่าไฟไหม้วิ่งไปยังจวน จะดับไฟ พอไปถึงไม่เห็นมีอะไรมีแต่ฮูหยินภรรยาแม่ทัพคลอดบุตรเป็นชาย มีลักษณะดีผิดแผกเด็กทั่วไป เมื่อโตขึ้นได้ไต่เต้าเป็นแม่ทัพ คราวหนึ่งนำทัพไปปราบกบฏคนฮวนเกิดพ่ายศึกยับเยิน ตัวเขาหนีรอดคนเดียวเข้าไปในหุบเขาได้พบกับนักพรตชราว่ากันว่าคือ ทิก้วยลี ได้รับถ่ายทอดเคล็ดบำเพ็ญธรรมต่อมาได้บำเพ็ญเพียรจนสำเร็จเป็นเซียนในที่สุด
อายุ ได้ 64 ก็ท่องเที่ยวพเนจรไปทั่ว ระหว่างพักโรงเตี๊ยมเมืองหันเอ้อได้พบกับอาจารย์ฮั่นจงหลีทั้งสองสนทนา เรื่องธรรมะถูกอัธยาศัย ลื่อต้งปิงถอนใจว่าชีวิตช่างอาภัพสอบจิ้นซื่อไม่ได้สักครั้งฮั่นจงหลีเอา หมอนในย่ามยื่นให้พร้อมกล่าวว่า "เจ้าจงหนุนหมอนใบนี้ จะทำให้ทุกอย่างสมหวัง" ลื่อต้งจึงหนุนหมอนหลับไม่รู้ตัว ขณะนั้นเจ้าของโรงเตี๊ยมกำลังนึ่งข้าวเกาเหลียงอยู่ ลื่อต้งปิงได้ฝันเห็นอนาคตว่าชั่วครู่เดียวชีวิตขึ้นๆลงๆเปลี่ยนแปลงมากมาย ตั้งแต่สอบได้จิ้นซื่อเป็นนายอำเภอเมืองลั่วหยังได้เลื่อนตำแหน่งหลาย ครั้งกระทั่งเป็นแม่ทัพรบชนะข้าศึก มีอำนาจวาสนามั่งมีศรีสุข 50 ปี เป็นอัครมหาเสนาบดี 10 ปีต่อมาถูกปลดออกจากตำแหน่งชีวิตต้องตกระกำลำบาก
เมื่อตื่นขึ้นฮั่นจงหลีกล่าวว่าเกาเหลียงยังไม่สุกฝันจบชั่วชีวิต ลื่อต้งปิงแปลกใจที่อาจารย์รู้ความฝัน ฮั่นจงหลีว่าชีวิตงคนก็เป็นเช่นนี้แหละ ลื่อต้งปิงจึงปลงตกละกิเลสขอปวารณาเป็นศิษย์ ฮั่นจงหลีได้นำลื่อต้งปิงไปบำเพ็ญเพียร ที่เขานกกระเรียนและถ่ายทอดเคล็ดลับให้จนสำเร็จเป็นเซียนในเวลาต่อมา
เหอเซียนโกว
เหอเซียนโกว เดิมชื่อ "ฮ่อค้วง" เป็นนางฟ้าหนึ่งเดียวในคณะแปดเซียน เกิดในสมัยราชวงศ์ถังเป็นชาวเมืองกวงโจว เป็นคนใจบุญและฉลาด วันหนึ่งได้พบกับเซียน ลื่อต้งปิง เซียนเห็นนางและส่งผลท้อให้เมื่อกินผลท้อนั้นแล้วก็ไม่รู้สึกหิวอีก และยังสามารถทำนายทายทักโชคชะตาของคนอื่น คืนวันหนึ่งเทพยดาได้มาเข้าฝันบอกให้นางกินแป้งฮุนบ้อ ทำให้ตัวเบาและไม่ตาย เมื่อตื่นขึ้นนางก็ลองทำตามในฝัน หลังจากกินแป้งฮุนบ้อแล้วปรากฏว่าตัวเบาเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วกว่าปกติ หลังจากนั้นมักขึ้นเขาลงเขาอยู่เสมอขากลับยังนำผลไม้ต่างๆมาฝากมารดาเป็นประจำ ต่อมาข่าวลอยไปถึงในวังพระนางบูเช็กเทียนได้ส่งคนไปเชิญมาเข้าเฝ้า ระหว่างทางปรากฏว่านางหายตัวไป คณะเชิญค้นหาเท่าใดก็ไม่พบ ปรากฏภายหลังว่ามีคนเห็นนางขี่เมฆลอยอยู่บนฟ้าจึงรู้ว่าได้สำเร็จเป็นเซียนไปแล้ว
จางกั๋วเหล่า
ตำนานหนึ่งว่า จางกั๋วเหล่า เป็นคนสมัยถังเป็นนักพรตจำศีลภาวนาที่จงเถียวซัน ไปไหนมาไหนมักจะขี่ลาเผือกกลับหัวโดยหันหน้าไปทางหางลาเป็นปริศนาธรรมลานี้เป็นลาวิเศษ เวลาไม่ใช้สามารถเก็บพับใส่ในกระเป๋าดั่งกระดาษ เวลาจะขี่เอาน้ำพ่นกลายเป็นลาดังเดิม อีกตำนานหนึ่งก็ว่าในสมัยดึกดำบรรพ์มีพญาค้างคาวเผือก ตัวหนึ่งได้จำศีลบำเพ็ญเพียรอยู่ในถ้ำจนสำเร็จเป็นเซียน ได้กลายร่างเป็นชายชราผิวพรรณผ่องใสแข็งแรงคือจางกั๋วเหล่านั่นเอง
หลันไฉ่เหอ
หลันไฉ่เหอ เป็นคนสมัยฮั่นชอบใส่เสื้อผ้าขาดใส่รองเท้าข้างเดียวถือกรับไม้ยาวฟุตเศษ เที่ยวเดินร้องเพลงขอทานเรื่อยไปเพลงที่ร้องมีเนื้อเพลงเป็นคติเตือนใจคน เมื่อได้เงินก็เอามาร้อยเป็นพวงแล้ววิ่งลากไปตามถนนเชือกขาดเงินหลุดหล่นหายไปก็ไม่สนใจ มีเงินเหลือกินก็นำไปแจกจ่ายแก่คนยากจนหน้าร้อนใส่เสื้อหนา หน้าหนาว หิมะตกกลับใส่เสื้อตัวเดียวนอนบนหิมะ ต่อมา ทิก๋วยลี้ และ ฮั่นจงหลี ได้มาชวนไปบำเพียรเพียรจนสำเร็จเป็นเซียน
หันเซียงจื่อ
หันเซียงจื่อ สมญานาม ชิงฟู เกิดในสมัยถัง วันที่ 10 เดือนสิบ พ.ศ. 1320 กำพร้าพ่อแม่แต่เด็กอาศัยอยู่กับหันยู่ผู้เป็นอาซึ่งเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ นิสัยรักสันโดษชอบปลีกวิเวก วันหนึ่งท่านลื่อโจ้วได้มาโปรดจนบำเพ็ญสำเร็จเป็นเซียน หันเซียงจื่อ ยังกตัญญูโปรดหันยู่ให้ละทิ้งตำแหน่งขุนนางมาบำเพ็ญธรรมใช้เวลาถึง 9 ปี จึงโปรด สำเร็จ
เชาก๊กกู๋
เชาก๊กกู๋ เดิมชื่อ เชาจิ่งซิว เป็นน้องชายของพระราชินีเชาฮองเฮา แห่งราชวงศ์ซ่ง เชาก๊กกู๋เป็นคนเที่ยงตรง มีเมตตารักสงบไม่ชอบความโก้หรู เนื่องจากละอายที่เชายี น้องชายถืออำนาจพี่สาวเที่ยวก่อกรรมทำชั่วจนถูกท่านเปาตัดสินประหารชีวิต จึงตัดสินใจขึ้นเขาบำเพ็ญเพียรต่อมาเขาได้พบกับ ฮั่นจงหลี และ ลื่อต้งปิง ลื่อต้งปิงถามว่าได้ข่าวว่าท่านบำเพ็ญธรรม ธรรมที่ท่านบำเพ็ญอยู่ที่ใดเชาก๊กกู๋ชี้นิ้วขึ้นฟ้า ลื่อต้งปิง ถามอีกว่า ฟ้าอยู่ที่ใดเชาก๊กกู๋ก็ชี้ที่หัวใจ ฮั่นจงหลีหัวเราะแล้วพูดว่า "ใจก็คือฟ้า ฟ้าก็คือใจ" บัดนี้ท่านค้นพบตัวเองแล้ว จากนั้นเซียนทั้งสองจึงถ่ายทอดมรรควิธีแก่ เชาก๊กกู๋ จนบำเพ็ญสำเร็จเป็นเซียนในที่สุด
เทพเจ้าจงเขว่ย ผู้ปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย
จงเขว่ย หรือ จง เขว่ย(หรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า Zhong Kui) เป็นเทพกึ่งปีศาจในตำนานเทพของจีน เชื่อกันว่าจงเขว่ยเป็นผู้กำราบปีศาจร้าย และมักจะวาดภาพจงเขว่ยไว้ที่หน้าประตูเพื่อให้เป็นผู้ปกปักษ์คุ้มครองบ้าน
ตามตำนานของจีน เล่าว่าจงเขว่ยเป็นชายหนุ่มมีความรู้ดีแต่หน้าตาอัปลักษณ์ เขาเดินทางไปกับตู้ผิงเพื่อนคนหนซึ่งเป็นคนบ้านเดียวกัน เพื่อเข้าสอบรับราชการเป็นบัณฑิตที่เรียกว่าจอหงวนในเมืองหลวง แม้ว่าจงเขว่ยจะสอบได้คะแนนสูงสุดแต่ฮ่องเต้ก็มิได้ประทานตำแหน่งจอหงวนให้ เพราะจงเขว่ยมีรูปร่างหน้าตาที่น่าเกลียดนั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนี้จงเขว่ยจึงโกรธและน้อยใจอย่างยิ่ง และฆ่าตัวตายที่บันไดพระราชวังนั่นเอง ส่วนตู้ผิงก็ช่วยทำศพเพื่อน ครั้นเมื่อตายไปแล้วจงเขว่ยได้เป็นราชาแห่งปิศาจในนรก และจะกลับบ้านเกิดในช่วงปีใหม่ (นั่นก็คือช่วง ตรุษจีนนั่นเอง) นอกจากนี้ยังได้ตอบแทนความมีน้ำใจของตู้ผิง โดยการมอบน้องสาวของเขาให้แต่งงานกับตู้ผิง
เรื่องราวของจงเขว่ยนั้นเป็นที่รู้จักกันดีในนิทานพื้นบ้านของจีน ตั้งแต่สมัยจักรพรรดิเสวียนจงในราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 712 ถึง 756) จากเอกสารในสมัยราชวงศ์ซ่ง ระบุว่าเมื่อจักรพรรดิเสวียนจงทรงพระประชวรหนักทรงพระสุบินเห็นปิศาจสองตน ตนเล็กขโมยถุงเงินไปจากพระสนมนามว่าหยางกุ้ยเฟย และขลุ่ยขององค์จักรพรรดิส่วน ปิศาจคนใหญ่นั้นสวมหมวกขุนนางมาจับปิศาจตนเล็กและดึงลูกตาออกมากินเสีย จากนั้นปิศาจตนใหญ่ก็แนะนำตนว่าชื่อจงเขว่ย และบอกว่าตนได้สาบานที่จะกำจัดอาณาจักรแห่งความชั่วร้าย เมื่อจักรพรรดิตื่นบรรทมก็ทรงหายจากอาการประชวร จากนั้นได้มีบัญชาให้นายช่างหลวง ชื่อ อู่ เต้าจื่อ วาดภาพจงเขว่ยให้เหล่าขุนนางได้ดูซึ่งภาพดังกล่าวมีอิทธิพลอย่างมากต่อภาพ วาดจงเขว่ยในสมัยต่อๆ มา
เรียบเรียงจาก
thai.mindcyber.com
http://th.wikipedia.org