2551/12/30

พาเที่ยว ราชบุรี (2) น้ำพุร้อน บ่อคลึง


และก็ถึงยังจุดหมาย ธารน้ำพุร้อนบ่อคลึง ขับรถจาก อ.สวนผึ้ง ไปทางน้ำตกเก้าโจน 16 กม. ลักษณะเป็นลำธารน้ำร้อนเล็กๆ จากเทือกเขาตะนาวศรี มีน้ำไหลซึมออกมาจากตาน้ำใต้ดินไม่ขาดสาย ซึ่งมีก้อนหินใหญ่เล็กเรียงรายตามร่องน้ำตลอดทางประมาณ 300 เมตร สองฝั่งลำธารแวดล้อมด้วยพืชพรรณไม้จากธรรมชาติ การไหลรินของน้ำมีตลอดทั้งปี แม้ในฤดูแล้งปริมาณน้ำไหลจะน้อยลงบ้างไม่ถึงกับแห้ง ที่จุดต้นน้ำซึ่งเป็นตาน้ำผุดออกมาจากใต้ดินนั้นเป็นจุดที่มีอุณหภูมิสูงสุด ความร้อนประมาณ 120-136 องศาฟาเรนไฮต์ สถานที่แห่งนี้พบโดยเอกชนขณะกำลังขุดเหมืองแร่ ในช่วงปี พ.ศ.2468 และทำการปรับปรุงให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวต่อมาจนทุกวันนี้ การจัดการเป็นแบบเรียบง่าย มีค่าเข้าพื้นที่คนละ 5 บาท แล้วเดินเข้าไปอีกหน่อยด้านขวามือจะมีป้ายเขียนว่าพื้นที่ให้กางเต็นท์ และตรงไปอีกนิดก็เป็นจุดที่ลงไปอาบน้ำแร่ได้ ซึ่งบ่อน้ำแร่นี้มีให้เลือก 2 แบบ
คือ กลางแจ้ง เป็นแบบบ่อดิน เปิดโล่งเป็นธรรมชาติ กับ แบบสระปูกระเบื้อง ซึ่งจะอยู่ภายในอีกทีหนึ่ง ป่าป๊าเลือกบ่อดินเพราะดูเป็นธรรมชาติ และราคาถูกกว่า (ผู้ใหญ่คนละ 30 บาท ของหนูฟรีค่ะ) แบบปูกระเบื้องคนละ 50 บาท การแต่งกายก็เป็นเสื้อยืดกางเกงขาสั้น หรือกางเกงวอร์มก็สามารถลงไปแช่น้ำร้อนได้อย่างสบายใจ น้ำในบ่อไม่ลึกมากประมาณเอวผู้ใหญ่ แต่สำหรับหนูยืนแล้วจมแน่ๆ เลยต้องเกาะคนโน้นที คนนั้นที อากาศเย็นๆ ได้อาบน้ำแร่อุ่นๆ แบบนี้ มีความสุขอย่าบอกใคร สมมุติว่าได้ไปอาบน้ำร้อนที่ญี่ปุ่น (ฮอนเซ็น) โดยไม่ต้องเสียตังค์แพงๆ ไงละ


น้ำในบ่อข้างนอก อุ่นกำลังดี มีท่อต่อจากต้นน้ำบนภูเขาลงมาที่บ่ออีกที และน้ำจะไหลเวียนออกไปตลอดเวลา หนูสงสัยว่าน้ำแร่ธรรมชาติจะมีวันหมดไปมั๊ย ถ้าหมดแล้วเขาจะเอาน้ำมาต้มให้ร้อน ทำเป็นน้ำแร่ให้นักท่องเที่ยวมาอาบต่อไป หรือเปล่านะ? (ฮ่า ฮ่า)
ในที่สุดหนูก็ต้องกล่าวคำอำลา จ.ราชบุรี เป็น 2 วัน 1 คืน ที่มีความสุขในครอบครัว เราอาจจะเถียงกันบ้าง บ่นกันบ้าง หรือหงุดหงิดใส่กันบ้างในตอนอยู่บ้าน แต่เมื่อนึกถึงรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความทรงจำดีๆ ที่ได้มาทำบุญไหว้พระ ขอพรร่วมกัน ก็เป็นเหมือนการเพิ่มพลังแห่งความรักในครอบครัว ขอบคุณพระเป็นเจ้าสำหรับการเดินทางที่ปลอดภัย ขอบคุณสำหรับพระพรต่างๆ ที่หนูได้รับทุกครั้งที่วอนขอ และขอบคุณที่ให้หนูได้เกิดมาเพื่อสัมผัส ความสวยงามจากสิ่งสร้างบนโลกใบนี้

ปล.พบกันใหม่กับทัวร์ครั้งหน้าเร็วๆ ตามคำสโลแกน เที่ยวไทยครื้นเครง เศรษฐกิจไทยคึกคักค่า.. หนูเอย

2551/12/25

แผนที่วัดคาทอลิก ใน จ.ราชบุรี (ปรับปรุงครั้งที่ 1)

การทำแผนที่ใน maps google เป็นความตั้งใจที่อยากจะให้ผู้ที่ไปแสวงบุญตามที่ต่างๆ มีโอกาสได้เห็นแผนที่ชัดเจน ก่อนที่จะเดินทางจริง แต่เป็นการทำแบบค่อยๆ เป็นค่อยๆ เก็บเล็กผสมน้อย ไปทีละวัด ทีละแห่ง สามารถเข้าชมได้ที่
http://maps.google.com/maps/ms?msa=0&msid=102815591993632318413.00045d3a91667beb8b431&ie=UTF8&ll=13.5926,99.640503&spn=1.353477,2.460938&z=9

2551/12/23

ป่าป๊า พาเที่ยวราชบุรี ตอนที่ 1
























ดีใจจัง วันหยุดสุดสัปดาห์นี้หนูจะได้ไปเที่ยวที่ราชบุรี ตอนแรกแม่บอกว่าจะพาหนูไปงานแต่งงานที่นั่น แบบไปเช้าเย็นกลับ แต่ป่าป๊าอยากพาหนูเที่ยว (หรืออยากเที่ยวเองก็ไม่รู้) เลยจัดมินิทัวร์แสวงบุญควบคู่กับการไปพักผ่อนที่ราชบุรี 2 วัน 1 คืน





วัดแรกของราชบุรีที่หนูได้ไปเยือน คือ รองอาสนวิหารนักบุญยอห์น บอสโก ซึ่งอยู่ในบริเวณโรงเรียนดรุณา ราชบุรี มองจากภายนอกดูสวยสง่า แข็งแรง มีบันไดสูงหลายสิบขั้นทอดยาว จากทางด้านปีกซ้าย ปีกขวา และด้านหน้าของวัด กว่าจะขึ้นไปถึงตัววัดได้ หนูก็เสียเหงื่อไปหลายหยดเหมือนกัน แต่ก็นับว่าคุ้มเพราะพอมาถึงลานหน้าวัดได้นั่งพัก มองดูวิวจากด้านบน ก็ทำให้หายเหนื่อย รอบๆบริเวณที่นั่ง มีไม้ใหญ่ เช่น ต้นลีลาวดี ปลูกให้ความร่มรื่น สบายตา ภายในวัดก็เย็นสบาย เพราด้านข้างของวัด เป็นประตูเปิดโล่งตลอด มีระเบียงทั้งด้านซ้าย และด้านขวา อีกอย่างที่หนูชอบมากคือ กระจกสีรูปพระ และนักบุญต่างๆ ตรงผนังด้านบนของวัด เวลาแสงอาทิตย์ส่องมากระทบยิ่งดูสวยจนหนูเดินมองเพลินเลยทีเดียว (อยากมาดูของจริงต้องมาที่วัดเองค่า)
แต่หนูถ่ายภาพของศิลาฤกษ์มาให้ชมด้วย







เสกศิลาฤกษ์ วันที่ 26 มกราคม ค.ศ.1985 โดยพระสังฆราชยอแซฟ เอก ทับปิง
วางศิลาฤกษ์ วันที่ 31 มกราคม ค.ศ.1988 โดยพระสังฆราช ยอห์น บอสโก มนัส จวบสมัย โอกาสระลึกศตวรรษสมโภช 100 ปี มรณภาพพ่อบอสโก
เสกวัดใหม่ วันที่ 2 มิถุนายน ค.ศ.1990 โดยโดยพระสังฆราช ยอห์น บอสโก มนัส จวบสมัย






ตอนบ่ายหลังจากเก็บของล้างหน้า ล้างตาที่บ้านพัก แบบโฮมเตย์ ใน อ.เมือง จ.ราชบุรี แล้วเราก็มุ่งหน้าสู่วัดที่สอง คือ วัดนักบุญเปาโลกลับใจ อ.โพธาราม ตอนแรกคิดว่าจะไม่มีบุญได้ไปหา นักบุญเปาโลซะแล้ว เพราะป่าป๊าป้ำเป๋อ ลืมแผนที่ไว้ที่กรุงเทพฯ ต้องโทรศัพท์ถามจากคนที่บ้าน แต่ก็ยังขับวนไปวนมาอยู่แถวนั้น หาไม่เจอซักที ทั้งๆ ก็วิ่งอยู่บนหน้าถนนโรงพยาบาล-บ้านฆ้อง และพยายามมองหาหาวัด กับป้ายชื่อวัดตามเส้นทางนั้น แต่แล้วก็หาไม่พบ จนต้องใช้บริการมอเตอร์ไซค์รับจ้าง บริเวณหน้าสถานีรถไฟโพธาราม ให้ช่วยนำทางให้








จากที่หลงอยู่ เป็นหลายนาที ก็แป๊ปเดียวสามารถถึงที่หมายได้ ซึ่งปัจจุบันนี้วัดอยู่ในซอยฝั่งตรงข้ามของโรงเรียนโพธาพัฒนาเสนี คือ ซอยที่ 8 หมู่ที่ 8 ถ.โรงพยาบาล-บ้านฆ้อง ต.คลองตาคด และหน้าปากซอยมีบ้าน และตึกแถว สร้างขึ้นมาบนริมถนนแล้วทำให้การมองจากถนน นั้นมองไม่เห็นวัดนักบุญเปาโล ซึ่งเป็นวัดเล็กๆ ภายนอกดูคล้ายบ้านพักอาศัย มีชั้นเดียว ขนาดกะทัดรัด ตรงรั้วด้านข้างวัดที่ติดกับซอย มีรูปปั้นแม่พระ และนักบุญเปาโล ให้ผู้มีจิตศรัทธาได้เข้าไปไหว้ และ ถวายดอกไม้ได้ ตอนที่หนูไปนี้ไม่ได้เข้าไปภายในวัด เนื่องจากวัดปิดและไม่มีผู้ดูแลอยู่เป็นประจำ ซึ่งก็เป็นวัดที่น่ารักอีกแห่งหนึ่งในเมืองราชบุรี ที่คอยให้บริการกับชุมชนโพธารามแห่งนี้ จึงอยากเชิญชวนทุกท่าน มาฉลองปิดปีนักบุญเปาโลที่วัดแห่งนี้กันนะค่ะ.. เพราะก็ไม่ไกล ไม่ใกล้จากเมืองกรุง




เช้าวันอาทิตย์ หลังจากอาบน้ำ ล้างหน้า (แม่ทำให้) กินอาหารเช้า (อันนี้หนูทำเองได้) แล้ว เราก็ออกเดินทางสู่วัดที่สาม คือ วัดแม่พระฟาติมา ห้วยคลุม อ.สวนผึ้ง วัดนี้เรียกได้ว่าอยู่บนภูเขาเลยทีเดียว เลี้ยวจากถนนสายหลักปากทางที่จะเข้าโรงเรียนสวนผึ้งวิทยา วิ่งเข้าไปประมาณ 10 กิโลเมตร ก็จะเห็นป้ายบอกทางขึ้นไปบริเวณวัดแม่พระฟาติมา ธรรมชาติสองข้างทางสวยมาก หนูเพิ่งเคยเห็นภูเขาใกล้ๆ อย่างนี้เป็นครั้งแรก เลยตื่นตาตื่นใจ วัดนี้เป็นวัดขนาดกลาง สร้างด้วยไม้เป็นส่วนใหญ่ รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีหอระฆังด้วย พวกเราที่ไปได้มีโอกาสเจอคุณพ่อเจ้าวัด ซึ่งท่านก็เล่าว่า สัตบุรุษที่นี่ ส่วนใหญ่เป็นชาวเขาเผ่าปากะญอ อาศัยอยู่รอบๆ บริเวณวัด บางคนก็อยู่ใกล้ บางคนก็อยู่ไกล บางคนอุ้มลูก จูงหลาน เดินทางมาหลายกิโลเมตรเหมือนกัน มิสซาทุกวันอาทิตย์ เวลา 9.00 น.

หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านซึ่งคุณพ่อซาวีโอ (มนตรี) จูสวย สงฆ์ไทยอาวุโสได้เคยมาทำงานแพร่ธรรมอยู่ก่อนแล้ว หลายปี คุณพ่อซาวีโอเป็นที่รักของชาวปากะญอเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกับกำนันละเอิง บุญเลิศ คุณพ่อเข้า - ออกที่นั้นเป็นประจำทุกอาทิตย์ โดยพักอาศัย กินอยู่ และหลับนอนที่บ้านของกำนันผู้นี้ ในที่สุดคุณพ่อก็ได้ซื้อที่ดิน 1 แปลง มีเนื้อที่ 1 ไร่ ในหมู่บ้านนี้ ด้วยทุนทรัพย์ส่วนตัวของคุณพ่อเอง และได้สร้างบ้านพักพระสงฆ์ 1 หลัง เป็นบ้านไม้ 2 ชั้น ชั้นบนเป็นที่พัก ชั้นล่างปล่อยโล่ง ๆ

เมื่อปี ค.ศ.1982 คุณพ่อวิโรจน์ อินทรสุขสันต์ ได้ไปช่วยงานสังฆมณฑลเชียงใหม่ ตามโครงการมิสซังพี่ – มิสซังน้อง เมื่อได้เป็นเจ้าอาวาสวัดพระหฤทัย เชียงใหม่ ครบวาระ 6 ปี จึงได้ย้ายกลับมาสังฆมณฑลราชบุรี และเข้าดำรงตำแหน่งอธิการบ้านเณรเล็กราชบุรี คุณพ่อเคยมีความสนใจในงานแพร่ธรรมกับคนต่างศาสนาโดยตรง จึงได้เข้ามาสำรวจว่ามีมีครอบครัวคริสตังค์อยู่จำนวนเท่าไร หลังจากนั้น คุณพ่อจึงได้นัดพบกัน เพื่อทำมิสซาเดือนละครั้งในวันเสาร์ต้นเดือน โดยมิสซาจะเป็นภาษาไทย แต่จะเทศน์และขับร้องเป็นภาษาปากะญออาศัยกลุ่มเณรปากะญอเป็นผู้ช่วย มีคนมาร่วมมิสซาด้วยประมาณ 30 - 40 คน เป็นกะเหรี่ยงล้วน ๆ
ปี 1986 ได้ขอครูสอนคำสอนชาวกะเหรี่ยงจากเชียงใหม่ 1 คนมาอยู่ประจำ เพื่อสอนคำสอน สอนสวดบทสวด สอนขับร้องเป็นภาษาปากะญอให้แก่ผู้ใหญ่ ซึ่งส่วนมากมักจะพูดไทยไม่ได้ และในปีนี้เองได้เริ่มส่งเด็กๆ ปากะญอมาเรียนคำสอนภาคฤดูร้อนที่ศูนย์สังฆมณฑลราชบุรี ปรากฏว่าได้ผลดีเกินคาด พูดไทยคล่องขึ้นและมีความกล้าขึ้นอีกด้วย นอกนั้นทางวัดยังได้จัดรถพาคริสตังค์กลุ่มนี้ออกไปร่วมฉลองในโอกาสต่าง ๆ ของสังฆมณฑลด้วย ทั้งนี้เพื่อจะได้เป็นการเปิดหูเปิดตาให้รู้จักศาสนจักรคาทอลิกมากขึ้น พวกเขาจะได้เกิดความเชื่อ ความศรัทธามากยิ่งขึ้น
เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 1987 ได้เริ่มลงรากสร้างวัดใหม่ถวายแด่แม่พระฟาติมา บนเนินสูงเหนือหมู่บ้าน เป็นวัดเล็ก ๆ ขนาดกว้าง 6 เมตร ยาว 21 เมตร สามารถบรรจุคนได้ 100 คน ด้านหลังวัดทำเป็น 2 ชั้น ชั้นบนเป็นที่พักพระสงฆ์ วัดหลังนี้ต้องใช้เวลาก่อสร้างนานกว่า 3 ปี จึงจะเสร็จเรียบร้อย ทั้งนี้ก็เพราะเหตุขัดข้องทางด้านการเงินและคนก่อสร้าง ซึ่งต้องเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาถึง 4 ชุด ระยะทางก็อยู่ห่างไกล กันดาร การขนส่งอุปกรณ์ก่อสร้างก็ลำบาก รถติดทราย ติดหล่มเป็นประจำ ซ้ำคนงานยังป่วยเป็นไข้มาเลเรียกันบ่อย ๆ อีกด้วย



ที่สุดวัดแม่พระฟาติมา ห้วยคลุม ก็สำเร็จลงและได้รับการเสกโดย พระสังฆราช มนัส จวบสมัย เมื่อวันที่ 1 มกราคม 1992 นอกจากตัววัดและหอระฆังแล้ว ก็ยังมีบ้านพักพระสงฆ์ซึ่งมีลักษณะเป็นบ้าน 2 ชั้น ครึ่งตึกครึ่งไม้อีก 1 หลัง พร้อมศาลาอเนกประสงค์ซึ่งโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรีร่วมใจสร้างให้อีก 1 หลังด้วย



อู้หู.. ความลำบากเมื่อ 20 กว่าปีก่อนกว่าจะได้วัดหลังนี้มา ทำให้อนุชนรุ่นหลังได้มีวัดและชุมชนที่น่ารักอีกแห่งหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะอยู่หากไกลจากตัวเมือง แต่ผู้คนที่นี้ยังสะอาดบริสุทธิ์ ยิ้มแย้ม แจ่มใส มีน้ำใจไมตรี มีคุณลุงคนหนึ่งชวนแม่ให้พาหนูเดินลงเขาไปเยี่ยมชมหมู่บ้านทางด้านล่างของวัด แม่มองทางลงก็ได้แต่ยิ้มกับคุณลุง ก็แหม ตอนขาลงนะไม่เท่าไรหรอก แต่ตอนขาขึ้นี่สิ แม่คงไม่อยากเข็นครก เอ๊ย เข็นหนูขึ้นภูเขา
ด้านข้างของวัดมีศาลาเล็กๆ ให้นั่งชมวิวด้วย มองออกไปเห็นทิวเขาสลับซับซ้อน มีบ้านคนอยู่ประปราย พื้นที่บางส่วนก็ถูกถางทำเป็นแปลงปลูกพืชดูเป็นระเบียบ ตัดกับภาพป่าไม้ที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ ยิ่งอากาศเย็นๆ ช่วงเดือนธันวา ทำให้หนูรู้สึกเหมือนได้ไปเที่ยวเมืองนอกเลย (จริงๆ ก็ไม่เคยไปหรอก เห็นแต่ในโทรทัศน์) พักผ่อนสูดอากาศ ชาร์ตพลัง จนเต็มปอด เราก็ขอลาคุณพ่อ และลุงๆ ป้าๆ ชาวปะกาญอ เพื่อเดินทางต่อ (โปรดติดตามตอนต่อไป)

2551/12/15

คุณสมบัติผู้นำ ตามแบบอย่างของท่านพระธรรมปิฎก

คุณสมบัติของผู้นำ ตามข้อเขียนของท่านพระธรรมมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตโต) มีดังนี้

ก. ตนเองต้องเป็นคนดีและเป็นแบบอย่างที่ดีได้ โดยทำตัวเป็นแบบอย่าง มีความรู้ ความสามารถ หรือจูงใจให้สมาชิกทำตามที่ต้องการได้ คุณสมบัติประการสำคัญในข้อนี้ มักจะอ้างอิงถึงหลักสัปปุริสธรรม 7 ประการคือ
1. ธัมมัญญุตา (Knowing the Law, Knowing the Cause) ความเป็นผู้รู้จักเหตุ คือ รู้ความจริง รู้หลักการ รู้กฎเกณฑ์ รู้กฎแห่งธรรมได้ รู้กฎเกณฑ์แห่งเหตุผล และรู้จักหลักการที่จะทำ ให้เกิดผล รวมความว่า การบริหารจัดการในองค์กร ผู้บริหารจำเป็นต้องพิจารณาข้อเท็จจริงอย่างถูกต้อง เพื่อบรรลุเป้าหมายขององค์กรให้มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล รู้จักการวิเคราะห์ความจริงที่เกิดขึ้น ตามธรรมชาติ อันว่า “ สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป เป็นธรรมดา “ โดยพิจารณาหลักการและเกณฑ์แห่งเหตุผลมาบริหารจัดการองค์กร

2. อัตถัญญุตา (Knowing the Meaning, Knowing the Purpose) ความเป็นผู้รู้จักผล หรือความมุ่งหมาย คือรู้ความหมาย รู้ความมุ่งหมาย รู้จักผลที่เกิดขึ้น สืบเนื่องจากการกระทำตามหลัก หมายถึง การบริหารงานองค์กรให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์ และรู้ถึงประโยชน์ของ องค์กรที่นำไปสู่ความมั่นคง และไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อองค์กร ในที่นี้ก็หมายถึงการมีแผนงานที่ดี การวางแผนที่วิเคราะห์ผลกระทบด้านต่าง ๆ

3. อัตตัญญุตา (Knowing Oneself) ความเป็นผู้รู้จักตน คือ รู้จักเราว่าเรานั้น โดยฐานะภาวะเพศ ความรู้ ความสามารถ และคุณธรรมเป็นอย่างไร และเท่าใด แล้วประพฤติให้เหมาะสม และรู้จักที่จะปรับปรุงต่อไป ในที่นี้หมายถึง รู้จักองค์กรที่เราบริหารเป็นอย่างดีว่ามีจุดด้อย จุดแข็งอย่างไร มีขีดความสามารถอย่างไร และรู้จักการปรับปรุงองค์กรให้ทันต่อเหตุการณ์ที่มีผลกระทบ รวมทั้งการบริหาร ความแตกต่างที่จะทำให้องค์กรเป็นเลิศ มีประสิทธิภาพ และมั่นคงถาวร

4. มัตตัญญุตา (Moderation, Knowing how to be temperate) ความรู้จักประมาณ คือ ความพอดีในการใช้จ่าย ในที่นี้หมายถึงการบริหารการเงิน หรือการขยายกิจการ ต้องพิจารณาให้รู้จักประมาณในความสามารถขององค์กร ขีดความสามารถขององค์กร ขีดความสามารถของทรัพยากรมนุษย์ในองค์กร รวมทั้งการแข่งขั้นที่รอบคอบและรู้จักประมาณขีดความสามารถขององค์กร

5. กาลัญญุตา (Knowing the Propertime) ความเป็นผู้รู้จักกาล คือ รู้กาลเวลา อันเหมาะสม และระยะเวลาในการประกอบกิจ ในที่นี้หมายถึง การบริหารจัดการ จะต้องมีความเข้าใจถึงระยะเวลาที่เหมาะสม การสร้างโอกาสขององค์กรจะต้องพิจารณาถึงสถานการณ์ในเวลานั้น ๆ ว่า ควรจะดำเนินการอย่างไร อะไรควรงด อะไรควรกระทำ เวลาใดควรขยายกิจการ หรือช่วงเวลาใดที่จะบริหารองค์กรให้ประสบผลสำเร็จต่อองค์กรมากที่สุด

6. ปริสัญญุตา (Knowing the Assembly, Knowing the Society) ความเป็นผู้รู้จัก ชุมชน คือ รู้กริยาที่จะประพฤติต่อชุมชนนั้น ว่าควรจะดำเนินการอย่างไร การบริหารจัดการ จำเป็นต้อง ปฏิสัมพันธ์กับองค์กรต่าง ๆ ทั้งที่เป็นพันธมิตร และคู่แข่ง การสร้างสรร หรือการประสานงานกับชุมชน หรือกลุ่มบุคคลที่มีผลต่อองค์กร ก็คือเข้าถึง เข้าใจ และพัฒนา เป็นการบริหารจัดการที่สร้างความสัมพันธ์ด้วยเมตตา ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อชุมชน หรือสาธารณะชน จะเป็นภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กร

7. ปุคคลัญญุตา (Knowing the individual, Knowing the different individuals) ความเป็นผู้รู้จักบุคคล คือ รู้จักความแตกต่างของบุคคลว่าโดยอัธยาศัย ความสามารถ และคุณธรรม ตลอดถึงรู้ในความสามารถของบุคคล และใช้มอบงานที่เหมาะสมให้การบริหารจัดการในการรู้บุคคล เปรียบเสมือนการพัฒนาและบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่จะต้องมีการพัฒนา และบริหารบุคคลในองค์กรให้มีความรู้ความสามารถ และภักดีต่อองค์กร มีความสามัคคี สร้างความเป็นธรรม และเสมอภาคให้แก่ บุคลากรในองค์กร รวมถึงการทำงานเป็นหมู่คณะ การติดต่อสื่อสารกับบุคคลต่าง ๆ ด้วยความเป็นมิตรไมตรี รวมทั้งมีความจริงใจต่อกัน

ข. มีกัลยาณมิตร มีที่ปรึกษาที่ดี ทั้งนี้ เพราะผู้นำต้องนำบุคคลอื่น ผู้นำไม่สามารถทำอะไรโดยลำพังคนเดียว จึงต้องมีผู้ร่วมงานหรือมีทีมงานที่ดี มีความรู้ความสามารถ และต้องรับฟังความคิดเห็นจากผู้อื่นอยู่เสมอ ตลอดจนก็ต้องแสวงหาความรู้อยู่เสมอ

ค. ต้องมองกว้างไกล ไม่ได้มองแต่เพียงในองค์กรหรือในชุมชนและสังคม ของตนเอง แต่มองให้ครบถ้วน มองหาสาเหตุและปัจจัยที่จะกระทบกับองค์กร ชุมชนและสังคมของตน องค์กรชุมชนและสังคมควรปฏิบัติอย่างไร รับมืออย่างไร หรือมีวิธีการที่จะแก้ไขสถานการณ์ต่างๆ นั้นอย่างไร พร้อมทั้งมีส่วนร่วมเกื้อหนุนหรือปรับแก้สถานการณ์ไม่ให้ถูกครอบงำ หรือล้าหลังการเปลี่ยนแปลง

ง. คิดไกล คิดในเชิงเหตุปัจจัย ทั้งมองไปข้างหลังและก้าวไปข้างหน้า คือปัจจุบันเป็นตัวตั้ง แล้วใช้ปัญญาสาวไปหาเหตุปัจจัยในอดีต ย้อนตามไปในอนาคตให้เห็นว่าเป็นอย่างนี้เพราะเหตุไร เป็นมาอย่างไร แล้วก็มองไปในอนาคตว่าจะมีผลเป็นอย่างไรสามารถวางแผนเตรียมการเพื่ออนาคตให้บรรลุจุหมาย จ. ใฝ่สูง คือใฝ่ปรารถนาจุดหมายที่สูงส่ง คือความดีความงามของชีวิต ความดีความงามของสังคม ความเจริญก้าวหน้า มีสันติสุขของมวลมนุษย์ ไม่ใช่มัวปรารถนาหรือใฝ่ในลาภยศสรรเสริญเยินยอ หรือประโยชน์ส่วนตน

2551/12/10

บทบาทของผู้นำกับการปรับเปลี่ยนและพัฒนาองค์กร



ย้อนหลังไปเมื่อ 20 ปีก่อน ร้านขายวัสดุก่อสร้างประเภท 3 ที่เน้นขายพวกเครื่องสุขภัณฑ์ และกระเบื้องปูพื้น บุผนัง ยังเป็นร้านค้าแบบดั้งเดิม ที่มีกองทราย กองกระเบื้องวางเกะกะอยู่เต็มร้าน ทำให้ลูกค้าไม่สามารถเลือกซื้อสินค้าได้มากนัก และไม่มีความสะดวกสบายเท่าไร ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ก็จะเป็นกลุ่มช่าง ผู้รับเหมา ที่จะเข้ามาติดต่อซื้อขาย ไม่มีกลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้บริโภคสุดท้าย (End User)

ผู้นำของร้านค้าแห่งนี้ หรือเรียกกันในสมัยนั้นว่า “เถ้าแก่” ได้ปรับเปลี่ยนธุรกิจใหม่ ด้วยการพัฒนาร้านค้าให้ดีขึ้นกว่าเดิม เริ่มตั้งแต่ปรับบริเวณด้านหน้าของร้านค้าให้สะอาดเรียบร้อย ไม่มีของเกะกะเต็มหน้าร้าน ให้มีตัวอย่างห้องเสมือนจริง (Mock up) ด้วยการติดกระเบื้อง ตั้งวางสุขภัณฑ์ อ่างล้างหน้า ในแต่ละห้องให้ลูกค้าได้เข้ามาเลือกสินค้า และเห็นภาพในอนาคตได้อย่างชัดเจนว่า ถ้าลูกค้าซื้อสินค้าไปแล้วนำไปติดตั้งตามแบบนี้ ก็จะได้ห้องน้ำที่ตนเองต้องการ และติดตั้งระบบปรับอากาศทั้งร้าน เพื่อให้ลูกค้า หรือผู้ที่ต้องการเข้ามาซื้อสินค้ามีความสะดวกสบายมากขึ้น พร้อมทั้งสอนพนักงานขายให้มีความสนใจลูกค้าที่เดินเข้ามาดูสินค้าอีกด้วย

ในยุคสมัยนั้นการเปลี่ยนแปลงของร้านนี้ ได้รับการพูดถึงหรือกล่าวขานกันในวงการค้าปลีกสมัยนั้น ว่า “ร้านจะไปไหวเหรอ ติดแอร์ ลงทุนไปตั้งมากมาย จะขายได้จริงเหรอ” แต่ผู้นำร้านก็ไม่สนใจและพยายามทำธุรกิจแม้ว่าจะมีปัญหาบ้างแต่ก็แก้ไข และฟันฝ่าอุปสรรค จนทำให้มียอดขายที่เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด และพร้อมที่จะพัฒนาหรือเพิ่มสาขามากขึ้น โดยการลงทุนเพิ่มกับเพื่อนร่วมรุ่น ซึ่งนับว่าเป็นกัลยาณมิตรของเถ้าแก่มาตั้งแต่สมัยเรียน และเติบโตขึ้นมาก็ได้มีโอกาสทำธุรกิจร่วมกันในการขยายสาขาขึ้นมาอีก 4 สาขา ตามมุมเมืองของกรุงเทพมหานคร เป็นการวางตำแหน่งสาขา เพื่อรองรับการเติบโตของเมือง ที่จะต้องขยายออกไปยังชานเมืองมากขึ้น นับว่าผู้นำในองค์กรนี้มีวิสัยทัศน์ในการเลือกตำแหน่งสาขาต่างๆ ได้เป็นอย่างดี เพราะในปัจจุบันนี้บริเวณที่ตั้งของสาขาต่างๆ นั้นประกอบไปด้วย หมู่บ้าน และ ชุมชนใหม่ๆ เกิดขึ้นสร้างความคึกคักและความเจริญขึ้นมาอีกมากมาย
ก้าวเข้าสู่ยุคเทคโนโลยี เป็นการปรับเปลี่ยนองค์กรทั้งระบบ เปลี่ยนวัฒนธรรมขององค์กร จากเดิมที่ใช้กระดาษ และเครื่องคิดเลข ทำให้ต้องใช้คอมพิวเตอร์ในการประสานงานขาย และสั่งซื้อสินค้า ในช่วงแรกที่นำมาใช้นั้นสร้างความวุ่นวายให้กับคนในองค์กรเป็นอย่างยิ่ง เพราะถือว่าเป็นการเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนวิธีการทำงานของพนักงาน อีกทั้งยังต้องพัฒนาพนักงานให้สามารถรับเทคโนโลยีต่างๆ ได้เป็นอย่างดี
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในวงการค้าวัสดุก่อสร้างสุขภัณฑ์ กระเบื้อง นี้อีกอันหนึ่งก็คือ การปรับเปลี่ยนระบบการซื้อด้วยเงินเชื่อ มาเป็นการซื้อด้วยเงินสด หรือบัตรเครดิต จากเดิมสัดส่วนเงินเชื่อสูงถึงร้อยละ 80 แล้วก็ปรับลดลงมาเหลือเพียงร้อยละ 30 ในช่วงแรกๆ ซึ่งในตอนแรกที่มีการปรับเปลี่ยนนี้ทำให้ลูกค้าที่เป็นผู้รับเหมา หรือลูกค้าเก่าๆ ได้ต่อว่าและบอกว่าทำถูกหรือ ไม่กลัวลูกค้าหายหรือ?

แต่เวลาก็ได้พิสูจน์แล้วว่าการทำธุรกิจด้วยเงินสดนั้นเป็นแนวทางที่ถูกต้องและป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้น เพราะช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ปี 40 ทางร้านค้าก็ได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อย เนื่องจากมีลูกหนี้ที่ไม่สามารถชำระเงินได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และทำให้ร้านค้าแห่งนี้สามารถดำเนินธุรกิจได้ตราบจนทุกวันนี้

2551/11/22

2551/11/21

แนะนำวัดนักบุญเยราร์ด จ.ขอนแก่น

“วัดนักบุญเยราร์ด จ.ขอนแก่น”




สิ่งแรกที่ได้เห็นเลยก้อคือตัวโบสถ์สีขาว ดูโปร่งโล่งสบาย...ตามแบบฉบับมหาไถ่
จริงๆนะ...ไม่เชื่อลองไปสังเกตวัดของคณะมหาไถ่ดูสิ เกือบทุกวัดจะเป็นลักษณะนี้เกือบทั้งหมดเลย บริเวณด้านหน้าวัดจะมีรูปปั้นนักบุญเยราร์ดองค์ใหญ่ตั้งอยู่ ซึ่งเมื่อมองไปด้านหลังเห็นตัวโบสถ์เป็นพื้นหลัง
แถมเยื้องๆไปทางขวานิดนึงยังมีหอนาฬิกาสีขาวตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ โห........สวยเหมือนกันนะเนี่ย

เรียกได้ว่ามุมด้านหน้านี้เป็นมุมถ่ายรูปที่สวยมากๆรูปนึงเลยล่ะ ว้าวๆๆๆๆ...เลือกกดชัตเตอร์กันได้ตามใจชอบเลย แล้วเมื่อเดินเข้าไปภายในวัด จะได้เห็นพระแท่นที่ดูเรียบหรู ด้านขวาเป็นรูปปั้น น.เยราร์ด ให้ได้มาขอพรกัน พอหันกลับมาด้านหลังที่นั่ง เราก็จะได้เห็นกับภาพกระจกสีรูปใหญ่ เป็นรูปนักบุญเยราร์ดอีกเช่นกัน
เวลามองแล้วมีแสงอาทิตย์ส่องผ่านเข้ามานะ...สวยไม่ใช่เล่นเลยนะเนี่ย
(ได้ข่าวมาว่าภาพกระจกสีนี้เพิ่งสร้างเสร็จก่อนงานฉลองวัดในปีนี้ (11 ต.ค.51) ไม่นานเอง เรียกได้ว่าใหม่ๆซิงๆเลย)

เมื่อเดินออกมาภายนอกวัดแล้ว บริเวณด้านขวาจะมีรูปปั้นแม่พระ และพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูอยู่ด้วย อยากบอกว่าถ้าแอบเดินเข้าไปด้านหลังวัดนิดนึงนะ จะมีศาลาเป็นคล้ายๆเพิงเล็กๆให้ไปนั่งเล่นได้ด้วยล่ะ ซึ่งเราเองก้อย่อมไม่พลาดที่จะไปถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก (เผื่อจาได้อารมณ์แบบอีสานบ้านนากับเค้านิดนึง 555+)

ระหว่างที่พวกเด็กๆ กำลังเพลิดเพลินกับการเดินเล่นรอบวัดอยู่ ผู้ใหญ่ๆ ก็ไปคุยกับคุณพ่อที่บ้านพักพระสงฆ์ บ้านพักพระสงฆ์ของที่นี่ดูกลมกลืนกับวัดมากมาย ออกแบบเป็นทรงคล้ายๆกันเลยล่ะ เรียกได้ว่าดูเข้ากัน
ภายในบ้านพ่อก็มีวัดน้อย (ไม่แน่ใจเหมือนกันนะ...อาจเป็นแบบที่สวดมนต์ของคุณพ่อ แบบนั้นก็ได้)
มีโถงทางเดินเล็กๆ ที่มองออกไปแล้วจะเห็นด้านหลังของรูปปั้นแม่พระ เลยไปอีกนิดนึงก็เป็นบริเวณหน้าวัดพอดีเลย หลังจากคุยกันจบ..คุณพ่อได้แนะนำร้านอาหารก๋วยเตี๋ยวเป็ด ข้าวมันไก่ ซึ่งคุณพ่อการันตีเองเลยว่าอร่อยมากๆ
นอกจากแนะนำให้แล้ว ยังใจดีขับรถนำพวกเราไปอีกด้วย ร้านนี้ก้อตั้งอยู่ไม่ไกลจาวัดมากเท่าไรนัก
อยากบอกว่าก๋วยเตี๋ยวเป็ดอร่อย แล้วให้เนื้อแบบเป็ดเป็นเป็ดอ่ะ (ไม่ใช่แค่วิญญาณเป็ด )
แต่ที่คุณพ่อเค้าภูมิใจนำเสนอมากกว่าคือข้าวมันไก่ ก้อไม่รู้เหมือนกันว่าอร่อยมั้ย...ไม่ได้กินเจ้ค่ะ เมื่ออิ่มหนำสำราญกันเรียบร้อยแล้วก็ร่ำลาคุณพ่อ หลังจากนั้นออกเดินทางต่อสู่จังหวัดหนองคาย



การเดินทางสามารถเข้าไปดูแผนที่ได้ที่นี้

http://maps.google.com/maps/ms?msa=0&msid=102815591993632318413.0004581e8afd03f555dbc&ie=UTF8&z=17


2551/11/18

เนื้อเพลง Amazing Grace

AMAZING GRACE

Amazing Grace! how sweet the sound
That saved a wretch like me
I once was lost, but now am found
Was blind but now I see

'Twas grace that taught my heart to fear
And grace my fears relieved
How precious did that grace appear
The hour I first believed

Through many dangers, toils, and snares
I have already come
'Tis grace that brought me safe thus far
And grace will lead me home

The Lord has promised good to me
His word my hope secures
He will my shield and portion be
As long as life endures

When we've been there ten thousand years
Bright, shining as the sun
We've no less days to sing God's praise
Than when we first begun

AMAZING GRACE

ชอบจัง .. เลยขอนำเสนอ

2551/11/17

FATHER DAY "December 5"

My father is person first man that makes I feel warm most. This person is will be only one man that I will love and compensate the favor or service performed to the last.

The word “FATHER” is the word shortly which is second word that me speaks to come out from my mouth. First time, I open one's eyes to see the world, person who me sees to are “Father and Mother”.

Father look after everything give me when I am little child. Right now, I grow up that Father wait to teach, warn that anything right and anything wrong. If I make a mistake, my father beat me for let me realize that thing should not do or not.

Someone think, if the father beat that means the father doesn’t love us. In the fact the father beats because love us. Beat the power more that we will painful but painful father more than us is hundred times

Father must work tired for lead money comes to treat me, but he never complain that “I’m tried”. I try to intend to study for make a father is proud of me.
Father is the hero that waits for to protect me in critical time, look after me all until along nowadays.

Father is a person who is distress for a child. Everybody child then should compensate his obligation. Bring a lei of flower goes to greet a father, in 5 December. Behave a good child and obey him.

แผนที่วัด และ เกร็ดน่ารู้ ของนักบุญยอแซฟ










นักบุญยอแซฟภัสดาพระนางพรหมจารีมารีย์






สมโภชวันที่ 19 มีนาคม


นักบุญยอแซฟ ทรงเป็นหัวหน้าครอบครัวเล็กๆ ที่ต่ำต้อย ทั้งนี้เพื่อว่าบรรดาผู้คนร่วมสมัยกับท่าน จะได้สามารถแลเห็นความเป็นจริงของการเสด็จมารับสภาพเป็นมนุษย์ของพระวจนาตถ์ ทั้งจะได้สามารถค้นพบความยิ่งใหญ่ของความเป็นจริงที่ต่ำต้อยนั้น ซึ่งพระเจ้าได้ทรงใช้เป็นอุปกรณ์สำหรับบันดาล ให้แผนการณ์ช่วยมนุษย์ให้รอดได้สำเร็จไป




นักบุญยอแซฟ พระภัสดาของพระนางพรหมจารีมารีย์ ทรงเป็นผู้ชอบธรรมคนสุดท้ายของพระธรรมเก่า เพราะท่านได้เจริญชีวิตโดยอาศัยความเชื่อจริงๆ และโดยอาศัยความเชื่อนี่เอง ที่ท่านสมจะได้รับหน้าที่ให้เป็นผู้ดูแลรักษา “พระสัญญา” ซึ่งบัดนี้ได้สำเร็จเป็นความจริงขึ้นมาแล้วใน “ธรรมล้ำลึกของการช่วยให้รอด” พระวรสารได้แสดงให้เห็นถึงรูปแบบของท่านว่า ท่านเป็นรูปแบบขั้นพื้นฐานในแผนการณ์แห่งความรักของพระบิดาเจ้า พร้อมกับหน้าที่พิเศษที่ท่านได้รับมอบหมาย ในฐานะที่เป็นบิดาเลี้ยงของพระเยซูคริสตเจ้า ความศรัทธาภักดีและการเคารพให้เกียรติที่บรรดาสัตบุรุษมีต่อนักบุญยอแซฟ ย่อมแสดงให้เห็นว่า พระเจ้าได้ทรงเลือกบุคคลที่เหมาะสมที่สุด สำหรับงานอันยิ่งใหญ่ของพระองค์และในเวลาที่เหมาะสมที่สุดด้วย

รายละเอียดแผนที่การเดินทาง


วัดนักบุญยอแซฟ ตรอกจันทน์ St.Joseph Church




วันสมโภชนักบุญทั้งหลาย
2 พศจิกายน 2551 ณ วัดนักบุญยอแซฟ ตรอกจันทน์






ออกเดินทางเวลา 9.30 น.
จากโบสถ์แม่พระฟาติมา ดินแดง ขับไปตามเส้นทาง ถ.อโศก-ดินแดง ผ่านศูนย์ประชุมสิริกิต์ แล้วมุ่งหน้าไปสู่ ถ.พระราม 3 ซึ่งในปัจจุบันมีการเดินทางที่สะดวกมากๆ หลังจากที่มีถนนสายใหม่ๆ ตัดผ่าน เช่น ถ.วงแหวนอุตสาหกรรม, ถ.สาธุประดิษฐ์ตัดใหม่ เป็นต้น ทำให้การเดินทางนั้นสะดวกรวดเร็ว เพียงไม่กี่นาทีก็ถึงถนนสาธุประดิษฐ์ แล้วมุ่งหน้าเพื่อเข้าซอยสาธุประดิษฐ์ 20 ซึ่งจะเป็นซอยที่ตัดร่วมกับ ซอยจันทน์ 43 (ซอยวัดไผ่เงิน)
และก็มาถึงวัดนักบุญยอแซฟ ซึ่งตั้งอยู่ในรั้วเดียวกันกับโรงเรียนเปรมฤดีศึกษา
อาคารวัดเป็นสถาปัตยกรรมทรงไทยที่วิจิตรสวยงามมากแห่งหนึ่ง ซึ่งในกรุงเทพฯ จะมีวัดที่มีอาคารทรงไทย เท่าทีข้าพเจ้านึกได้ประมาณ 4 วัด (วัดพระมหาไถ่, วัดธรรมาสน์นักบุญเปโตร, วัดพระกุมารเยซู และวัดนักบุญยอแซฟ)
ภายในวัดนั้นเย็นสบายด้วยอาคารที่โปร่งสูง และมีประตูซึ่งทำให้อากาศถ่ายเทได้สะดวกมากๆ
วันนี้เป็นวันฤกษ์งามยามดี ที่ คณะอุร์สุลิน จัดงาน “ปฏิญาณตนตลอดชีพ ของ ซิสเตอร์จันทนา วงศ์สรรคกร”
มีญาติ และแขกมาร่วมงานจำนวนกำลังพอด ไม่มากจนล้น หรือน้อยเกินไป

ขออนุญาตนำสาสน์สมัชชา คณะอุร์สุลิน ค.ศ.2007 มาไว้ ณ ที่นี้

จงเข้มแข็งและมั่นใจเถิด
อย่าตกใจหรือ คร้ามกลัวเลย
ท่านไปในถิ่นฐานใด
พระเจ้าทรงสถิตกับท่าน
Be fearless then,
Be confident ;
wherever you go,
the Lord is with you.


เสริมพลังแกร่งกล้า
ด้วยพระวาจาของพระเจ้า และการเข้าร่วมกลุ่มเป็นหนึ่งเดียวกัน
ในความเชื่อ ให้เรามีความกล้าหาญ ข้ามโพ้นพรมแดน
และพร้อมกับอัญจลา...เป็นเครื่องหมายแห่งการคืนดีกัน และความหวัง
Strengthened
By the word of God and by our communion with each other,
Let us have the courage to go beyond our borders
And with Angela, to be signs of reconciliation and of hope



หลังจาพิธีเสร็จสิ้นก็รับประทานอาหารที่เขาจัดเลี้ยงไว้ให้ แต่ข้าพเจ้าและครอบครัว ออกมาเดินดูภายนอกว่ามีร้านอาหารสำหรับคนในละแวกนี้หรือไม่ ซึ่งก็ขอแนะนำแค่ 2 อย่างก็น่าจะพอ

บะหมี่เกี๊ยวอยู่ตรงหัวมุม ซอย ฝั่งตรงข้ามกับวัดไผ่เงิน เส้นบะหมี และเกี๊ยวสีออกสีขาวๆ จะไม่เหลืองมากเหมือนกับบะหมี่ทั่วไป เส้นเหนียวนุ่ม อร่อยกำลังดี พร้อมกับน้ำซุปเข้มข้น

ขนมโตเกียวเพชร
อร่อยมาก มีหลากลายไส้ให้เลือก ไส้กรอกแฮมชีส, หมูแดงพิเศษ, ไข่นกกระทาประยุกต์ ซึ่งเป็นรถสามล้อเครื่องขายตระเวนภายในบริเวณนี้ ซึ่งมีป้ายบอกว่าขายที่ไหนเวลาใด หากใครได้มีโอกาสผ่านแถวนี้ และเห็นรถเข็นที่มีคนมุ่งซื้อขนมโตเกียวอยู่ละก็ ก็ขอให้รีบเข้าไปต่อคิว เพื่อจะได้ลองลิ้มชิมรสขนมโตเกียวที่แสนจะนุ่ม และหอมอร่อยทีเดียวเชียวล่ะ..

มิสซาวันอาทิตย์
เวลา 8.30 น.
เวลา 10.30 น.
เวลา 17.00 น.

2551/10/27

วัดคาทอลิค วัดพระวิสุทธิวงส์ ลำไทร คลอง 12







มีโอกาสได้ไปที่วัดพระวิสุทธิวงส์ ลำไทร เพื่อไปขอบคุณพระ และครอบครัวศักดิ์สิทธิ์
ที่ขอพรแล้วได้ตามที่ปรารถนา เมื่อหลายเดือนก่อน...
การเดินทางก็ไม่ยากเกินไปนัก แต่ขับรถจะสะดวกที่สุด หากอยากเห็นแผนที่ ก็สามารถเข้าไปดูใน














2551/08/06

เป็นตากุ้งยิง... แย่เลย..

ช่วงนี้เป็นตากุ้งยิง .. ก็เลยต้องหาความรู้เกี่ยวกับตากุ้งยิง..
และได้เห็นบทความของคุณหมอ ท่านหนึ่ง จึงขออนุญาต นำมาลงต่อนะครับ..
จาก website.

http://www.doctor.or.th/

ตากุ้งยิงเกิดจากอุดตันและอักเสบของต่อมไขมันที่หนังตา เนื่องจากในเปลือกตาแต่ละข้างมีต่อมที่อาจอักเสบเป็นตากุ้งยิงได้มากกว่าข้างละ 40 - 50 ต่อม ดังนั้นในบางคนที่เจอลม ฝุ่นหรือเชื้อโรคเข้าตาแล้วใช้มือที่ไม่สะอาดขยี้ตาก็อาจทำให้เป็นตากุ้งยิงและสามารถเป็นซ้ำได้บ่อยๆ

ตากุ้งยิงเกิดจากการอุดตันและอักเสบติดเชื้อของต่อมน้ำตาหรือต่อมไขมันที่บริเวณหนังตา เช่นเดียวกับการเกิดสิวตามบริเวณใบหน้า โดยมักเริ่มจากการมีฝุ่นหรือเชื้อโรคเข้าตา แล้วมีการใช้มือที่ไม่สะอาดขยี้ตาจึงเกิดการอักเสบตามมา ไม่เกี่ยวข้องกับความเชื่อเรื่องการแอบดูทำให้เป็นตากุ้งยิงแต่อย่างใด ตากุ้งยิงมีทั้งชนิดติดเชื้อและชนิดไม่ติดเชื้อ โดยแบ่งเป็นแบบตากุ้งยิงด้านนอก จะทำให้เห็นการอักเสบบริเวณเปลือกตาคือมีลักษณะบวม แดง ปวดที่บริเวณผิวเปลือกตา และตากุ้งยิงแบบด้านใน จะเห็นการอักเสบได้ชัดเมื่อปลิ้นเปลือกตาด้านในดู ตากุ้งยิงถ้าเป็นมากจะมีหนองนิ่มๆที่บริเวณตากุ้งยิงด้วย

การรักษาตากุ้งยิง ขึ้นกับระยะที่เป็นตากุ้งยิง คือ
1.ตากุ้งยิงระยะแรก อาจมีเพียงอาการเจ็บ แดงเล็กน้อยบริเวณเปลือกตา การรักษาให้ประคบน้ำอุ่นครั้งละ 15 นาทีวันละ 4 ครั้ง, นวดเบาๆที่เปลือกตาบ่อยๆ ห้ามขยี้ตา และใช้ยาปฏิชีวนะ โดยถ้ามีอาการเจ็บแดงบริเวณด้านในของเปลือกตา ใช้ยาปฏิชีวนะหยอดตาเช่น Poly-oph, Neosporin หรือ Tobramycin หยอดตาวันละ 4 ครั้ง และถ้ามีการอักเสบติดเชื้อ (บวม แดง) ของเปลือกตาบริเวณรอบๆ ร่วมด้วยให้ใช้ยาปฏิชีวนะเช่น Amoxycillin ชนิดรับประทานร่วมด้วย

2.ตากุ้งยิงระยะที่เป็นหนอง เมื่อคลำบริเวณตากุ้งยิง ตุ่มกุ้งยิงมีลักษณะนิ่มเป็นหนองข้างใน แพทย์จะให้การรักษาด้วยการเจาะหนองเพื่อรักษา โดยการใช้ยาชาชนิดฉีด อาจมีความรู้สำเจ็บบ้างขณะฉีดยาชา และมีการขูดผนังต่อมที่อักเสบออก เพื่อไม่ให้เป็นซ้ำที่ตำแหน่งเดิมอีก และใช้ผ้าปิดตาไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง เพื่อให้เลือดหยุด ร่วมกับการให้ยาปฏิชีวนะหยอดตาต่อประมาณ 3-5 วันการป้องกันไม่ให้เป็นตากุ้งยิงซ้ำอีก

สิ่งสำคัญนอกจากการรักษาคือการป้องกันการเป็นซ้ำของตากุ้งยิง เนื่องจากในเปลือกตาแต่ละข้างมีต่อมน้ำตาที่อาจอักเสบเป็นตากุ้งยิงได้มากกว่าข้างละ 40-50 ต่อม ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงฝุ่นหรือเชื้อโรคเข้าตาและห้ามใช้มือขยี้ตา เพราะอาจทำให้เป็นตากุ้งยิงซ้ำได้บ่อยๆ และควรใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นประคบนวดบริเวณเปลือกตาที่เป็นกุ้งยิงตั้งแต่เพิ่งเริ่มเป็นใหม่ๆจะช่วยให้หายได้ดีขึ้น รวมทั้งควรพักผ่อนให้พอเพียงด้วยเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงจะได้หายเร็วและไม่เป็นโรคต่างๆง่าย

ศักดิ์ชัย วงศกิตติรักษ์ พบ.จักษุแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

2551/07/30

ความตั้งใจ กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง












เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (27 ก.ค.51)




มีโอกาสได้ไปฉลองวัดคาทอลิคชื่อวัดนักบุญอันนา จ.สมุทรสาคร นานๆจะได้มางานบุญซักที (มีแต่หาเรื่องไปงานบาปเป็นประจำ) นั่งรถตู้ยังไม่ทันฝันก็ถึงที่หมายแล้วก่อนมิสซาเริ่มเกือบ 1 ชั่วโมงครึ่ง มาคราวนี้ฉวยโอกาส เอ๊ยถือโอกาสพาแม่มาทำบุญสะเดาะเคราะห์หลังจากนอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาลเกือบเดือน ลงจากรถได้เราแม่ลูกก็พร้อมใจกันเดินไปหาของกิน ซึ่งทางวัดจัดบริการฟรีสำหรับผู้มาร่วมงาน อุ๊ย ขออภัย ข้ามขั้นตอนสำคัญไปหน่อย แหะ แหะ มาวัดก็ต้องทำบุญทำทานก่อนสิ โดยทางวัดจะตั้งโต็ะรับบริจาคปัจจัยอยู่ทางด้านหน้า เรียกว่าคุณต้องทำบุญก่อนนะจ๊ะถึงจะกินฟรีได้ เอ๊ะไปๆมาๆจะพากันลงทางบาปอีกแล้ว เอ้ากลับไปว่ากันต่อดีกว่า





หลังจากนั้นสองคนแม่ลูกก็พากันไปสำรวจของกิน อุ๊ยตรงนี้มีก๋วยเตี๋ยว ทางนั้นมีหอยทอด ด้านโน้นมีหมูสะเต๊ะ และอื่นๆอีกมากมาย อีกมากมาย อีกมากมายๆ เฮ้อพอเห็นของกินแล้วสติแตกทุกที ถึงคิวจะยาวเราก็บ่ยั่น ถึงหัวจะเหม็นควันเราก็บ่ถอย ในที่สุดต่างคนต่างสวาปาม เอ่อหมายถึงรับประทานอย่างรีบด่วน เพราะมัวแต่หลงแสงสี ดูนาฬิกาอีกทีเกือบ 10.30 น. มิสซาจะเริ่มแล้ว กินเสร็จก็รีบไปหาที่นั่งซึ่งเกือบเต็มหมดแล้วทั้งๆที่ควรจะมานั่งจองไว้แต่เนิ่นๆ ตอนแรกตั้งใจจะเป็นคริสตชนที่ดีนั่งฟังมิสซาในวัดและถือโอกาสแก้บาปก่อนเริ่มพิธี แหมมางานบุญทั้งทีขอคนบาปกลับใจหน่อย แต่ก็ต้องตกม้าตายเมื่อเจอปีศาจหมูสะเต๊ะล่อลวง




สิ่งที่ตั้งใจไว้ถูกลดอันดับซะงั้น (เลือดคนบาปเข้มข้นจริงๆ) มาครั้งนี้มีข้อตั้งใจหลายอย่าง คือ





1 มาร่วมมิสซาอย่างดี



2 ทำบุญบริจาคทรัพย์สิน



3 ดูแลแม่ที่หัวเข่าไม่ดี เดินเหินไม่คล่อง



4 ถ่ายรูปวิวสวยๆเพราะเพิ่งมาเป็นครั้งแรก



5 รับประทานอาหารที่ทางวัดจัดให้ และ



6 ซื้อของนิดๆหน่อยๆ




ผลออกมาเป็นไงเหรอ อย่างน้อยก็ได้ทำบุญก่อน (เพราะเขาตั้งโต๊ะไว้หน้างาน) แต่ก็ไม่ได้ร่วมพิธีอย่างดี เพราะแอบลุกไปแก้บาป กลับมาถึงที่นั่งก็เป็นช่วงเทศน์พอดี ระหว่างนั้นใจก็พะวงว่ายังไม่ได้ถ่ายรูปวัด+วิวเลย กลัวแดดจะหุบ ฝนจะตกซะก่อน อยากลุกไประหว่างพิธีก็ไม่ได้ พอจบมิสซาจะไปถ่ายรูปก็ห่วงแม่เดี๋ยวจะเดินหกล้ม เพราะจะไปหาของกินรอบสอง (โอ้แม่เจ้า น้ำย่อยทำงานเร็วมากกกก)






ระหว่างที่แม่นั่งกินก็ถือโอกาสวิ่งไปเก็บภาพมุมต่างๆ แล้วรีบกลับมากินบ้าง แม่แอบแว้บไปดูของ กินเสร็จก็เดินตามหาแม่ พากันโขยกเขยกไปเข้าห้องน้ำ ได้เวลารถออกพอดี ขึ้นรถแล้วเพิ่งนึกขึ้นได้ อ้าวยังไม่ได้ถ่ายรูปภายในวัดเลย แม่บ่นแซงขึ้นมาว่ายังไม่ได้ถ่ายรูปคู่กับวัดเลย อืมม เอาไว้ปีหน้าละกันนะคะคุณแม่ พอมีสิ่งที่จะทำหลายอย่าง มันก็เลยออกมาไม่ดีซักอย่าง (อ้อ ยกเว้นเรื่องกิน)


จริงๆแล้วมันอาจจะอยู่ที่การจัดลำดับความสำคัญก็ได้ ถ้าเราให้ความสำคัญกับเป้าหมายหลักก่อนและยึดมั่นตามนั้น (โดยไม่สนการล่อลวงจากปีศาจหมูสะเต๊ะ) เราก็น่าจะทำสิ่งต่างๆที่ตั้งใจไว้สำเร็จด้วยดี เช่น มางานนี้เป้าหมายหลักคือทำบุญ ร่วมมิสซา และแก้บาป เป้าหมายรองคือ ถ่ายภาพ กินอาหาร และซื้อของ เมื่อรู้แล้วว่าสิ่งสำคัญคืออะไร ก็ให้ทำสิ่งนั้นก่อนเป็นอันดับแรก พยายามอย่าเดินออกนอกทาง (แม้ว่ากลิ่นหอยทอดจะหอมแค่ไหนก็ตาม) อย่างน้อยถ้าเราทำไม่ครบตามที่ตั้งเป้าไว้ แต่เราก็สามารถทำเรื่องที่สำคัญที่สุดได้สำเร็จ (ไชโยๆๆๆ)


.............. ฮัลโหล จะชวนไปฉลองวัดอีกเหรอ ได้เลย คราวนี้เรามีเป้าหมายหลักแล้ว รับรองจะต้องทำสำเร็จตามที่ตั้งใจไว้แน่ๆ เรื่องอะไรเหรอ อ๋อ ก็ที่เราจะไปกินของฟรีที่งานไง รับรองได้กินครบหมดทุกอย่างแน่นอน ฮา ฮา ฮา ฮา ................


แผนที่เดินทาง





















2551/07/29

หักห้ามใจเลิกดูดนิ้ว แล้วค่า..






หลังจากโดนกดดันมานาน ในที่สุดเจ้าตัวเล็กก็หักดิบ เลิกดูดนิ้วซะที ช่วง 2-3 วันแรก
ดูเธอน่าสงสารมาก เฝ้าแต่ดูนิ้วโป้งสุดรัก อยากจะเอาเข้าปากแต่ก็พยายามตัดใจ ก็ทุกคนในบ้านบอกหนูว่าเลิกดูดแล้วนิ้วจะสวยนี่นา
ตอนก่อนนอนเป็นช่วงเวลาที่แสนทรมานทั้งคนที่ไม่ได้เลิกและคนที่เลิกมาก เจ้าตัวเล็กนอนกระสับกระส่าย ผุดลุกผุดนั่งอยู่นั่นแล้ว ไม่ยอมหลับซะที มือก็จับผ้าขนหนูคู่กายเอาถูกับปากแทน เดือดร้อนแม่ที่อยากนอนเต็มแก่
ในที่สุดหลังจากฟาดหัวฟาดหางเป็นชั่วโมงเจ้าตัวเล็กก็สิ้นฤทธิ์สลบไปจนได้ เฮ้อกว่าแม่จะได้นอน ลุ้นแทบตาย คิดๆแล้วก็อยากให้กลับมาดูดนิ้วเหมือนเดิม แต่ช้าก่อน ถ้าโทรมาตอนนี้ เอ๊ย ถ้าไม่ใจแข็งตอนนี้ปล่อยให้ดูดต่อไป นิ้วคงเน่าก่อนโตเป็นสาวแน่ ดังนั้นต้องสู้ต่อไปนะลูกรัก
และแม่ด้วยเพราะตอนนี้ตาเป็นหมีแพนด้าเข้าไปทุกทีแล้ว : (


2551/07/24

จุดเริ่มต้นของความสำเร็จ

ตั้งใจว่าจะเขียนบันทึก มาหลายวันแล้ว เพิ่งมีโอกาสก็วันนี้เอง หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจส่งบุคคลสำคัญเข้านอนกับคุณยาย (จะหลับหรือเปล่าไม่รู้)



มีหลายอย่างที่คิดไว้ว่าจะทำ แล้วก็ได้แต่คิด เอาละเดี๋ยวจะทำนั่น นู่น นี่ โน่น โอ๊ย สารพัดอย่าง แต่เอาเข้าจริง ไม่ได้ทำอะไรเลยซักอย่าง ทั้งๆที่ไม่ได้เป็นเรื่องยากเย็นอะไรเลย ความยากมันอยู่ตรงที่ตอนจะเริ่มลงมือทำต่างหาก ก็คงเหมือนคนที่ฝันว่าอยากจะเดินทางท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ แต่เจ้าตัวยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ในบ้าน แล้วมันจะเป็นจริงตามฝันได้ไงล่ะ



ถ้าเพียงแต่ลุกขึ้น ก้าวเท้าออกจากบ้าน แม้จะยังไม่ถึงที่ฝันไว้ แต่มันคือจุดเริ่มต้นของความสำเร็จ (โอ้พระเจ้าจ๊อด มันคมมาก) ก็ในเมื่อก้าวแรกมันยากแล้วจะทำยังไงให้มันเริ่มได้ล่ะ อืมมมมม



หลังจากประมวลผลด้วยระบบ Brainstorming กับตัวเองแล้วได้ข้อสรุปเป็นขั้นตอนง่ายๆ คือ


  1. เขียนสิ่งที่ตั้งใจว่าจะทำในวันนี้ อาจเรียงลำดับตามความสำคัญ หรือความเร่งด่วนก็ได้

  2. เอามาอ่านทบทวนแล้วเลือกวงกลม(หรือเครื่องหมายอื่นๆ)ข้อที่อยากทำมากที่สุด 3 ข้อ

  3. ลงมือปฏิบัติในทันที

  4. เมื่อทำสำเร็จให้ติ๊กถูก (เครื่องหมายถูกอยู่ตรงส่วนไหนของคอมเนี่ย) แสดงว่าทำเรียบร้อยแล้ว

  5. ส่วนข้ออื่นๆที่เหลือก็เอามาคัดเลือกเพื่อทำต่อไปในวันรุ่งขึ้น



เอาล่ะ ถือว่าวันนี้ประสบความสำเร็จในการเริ่มก้าวที่หนึ่งเพราะได้เขียนบันทึกซะที

ขอลาไปนอนกลางวันซักงีบ ก้าวที่สอง สาม สี่ จะช้าหน่อยก็คงไม่เป็นไรจริงมั้ย ?


ปุจฉา : ใครเป็นคนกำหนดว่าตัวอักษรแต่ละตัวควรอยู่ตรงไหนบนแป้นพิมพ์ มีการทำวิจัยมั้ยเนี่ย ทำไมตัวอักษรบางตัวถึงหาไม่ค่อยเจอ

วิสัชณา : ??????????????????

2551/06/23

เตรียมตัวก่อนเกิดแผ่นดินไหว

ก่อนการเกิดแผ่นดินไหว
1. ควรมีไฟฉายพร้อมถ่านไฟฉาย และกระเป๋ายาเตรียมไว้ในบ้าน และให้ทุกคนทราบว่าอยู่ที่ไหน
2. ศึกษาการปฐมพยาบาลเบื้องต้น
3. ควรมีเครื่องมือดับเพลิงไว้ในบ้าน เช่น เครื่องดับเพลิง ถุงทราย เป็นต้น
4. ควรทราบตำแหน่งของวาล์วปิดน้ำ วาล์วปิดก๊าซ สะพานไฟฟ้า สำหรับตัดกระแสไฟฟ้า
5. อย่าวางสิ่งของหนักบนชั้น หรือหิ้งสูง ๆ เมื่อแผ่นดินไหวอาจตกลงมาเป็นอันตรายได้
6. ผูกเครื่องใช้หนัก ๆ ให้แน่นกับพื้นผนังบ้าน
7. ควรมีการวางแผนเรื่องจุดนัดหมาย ในกรณีที่ต้องพลัดพรากจากกัน เพื่อมารวมกันอีกครั้ง ในภายหลัง
8. สร้างอาคารบ้านเรือนให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่กำหนด สำหรับพื้นที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหว

ระหว่างเกิดแผ่นดินไหว
1. อย่าตื่นตกใจ พยายามควบคุมสติอยู่อย่างสงบ ถ้าท่านอยู่ในบ้านก็ให้อยู่ในบ้าน ถ้าท่านอยู่นอกบ้านก็ให้อยู่นอกบ้าน เพราะส่วนใหญ่ได้รับบาดเจ็บเพราะวิ่งเข้าออกจากบ้าน
2. ถ้าอยู่ในบ้านให้ยืนหรือมอบอยู่ในส่วนของบ้านที่มีโครงสร้างแข็งแรง ที่สามารถรับน้ำหนัก ได้มาก และให้อยู่ห่างจากประตู ระเบียง และหน้าต่าง
3. หากอยู่ในอาคารสูง ควรตั้งสติให้มั่น และรีบออกจากอาคารโดยเร็ว หนีให้ห่างจากสิ่งที่จะล้มทับได้
4. ถ้าอยู่ในที่โล่งแจ้ง ให้อยู่ห่างจากเสาไฟฟ้า และสิ่งห้อยแขวนต่าง ๆ ที่ปลอดภัยภายนอกคือที่โล่งแจ้ง
5. อย่าใช้ เทียน ไม้ขีดไฟ หรือสิ่งที่ทำให้เกิดเปลวหรือประกายไฟ เพราะอาจมีแก๊สรั่วอยู่บริเวณนั้น
6. ถ้าท่านกำลังขับรถให้หยุดรถและอยู่ภายในรถ จนกระทั่งการสั่นสะเทือนจะหยุด
7. ห้ามใช้ลิฟท์โดยเด็ดขาดขณะเกิดแผ่นดินไหว
8. หากอยู่ชายหาดให้อยู่ห่างจากชายฝั่ง เพราะอาจเกิดคลื่นขนาดใหญ่ซัดเข้าหาฝั่ง


หลังเกิดแผ่นดินไหว
1. ควรตรวจตัวเองและคนข้างเคียงว่าได้รับบาดเจ็บหรือไม่ ให้ทำการปฐมพยาบาลขั้นต้นก่อน
2. ควรรีบออกจากอาคารที่เสียหายทันที เพราะหากเกิดแผ่นดินไหวตามมาอาคารอาจพังทลายได้
3. ใส่รองเท้าหุ้มส้นเสมอ เพราะอาจมีเศษแก้ว หรือวัสดุแหลมคมอื่น ๆ และสิ่งหักพังแทง
4. ตรวจสายไฟ ท่อน้ำ ท่อแก๊ส ถ้าแก๊สรั่วให้ปิดวาล์วถังแก๊ส ยกสะพานไฟ อย่าจุดไม้ขีดไฟหรือก่อไฟจนกว่าจะแน่ใจว่าไม่มีแก๊สรั่ว
5. ตรวจสอบว่า แก๊สรั่ว ด้วยการดมกลิ่นเท่านั้น ถ้าได้กลิ่นให้เปิดประตูหน้าต่างทุกบาน
6. ให้ออกจากบริเวณที่สายไฟขาด และวัสดุสายไฟพาดถึง
7. เปิดวิทยุฟังคำแนะนำฉุกเฉิน อย่าใช้โทรศัพท์ นอกจากจำเป็นจริง ๆ
8. สำรวจดูความเสียหายของท่อส้วม และท่อน้ำทิ้งก่อนใช้
9. อย่าเป็นไทยมุงหรือเข้าไปในเขตที่มีความเสียหายสูง หรืออาคารพัง
10. อย่าแพร่ข่าวลือ

แหล่งข้อมูล : กรมอุตุนิยมวิทยา

2551/02/20

Behavior Indicator

Needs Improvement (NI)
  • Individuals who are new in the learning curve and have not mastered key job responsibilities
  • Inconsistently demonstrates or may be learning the required role knowledge and does not yet fully perform all requirements and duties Work is regularly incomplete and/or does not meet the minimal standards for quantity or quality; often misses deadlines
  • Takes little to no initiative, even with prompting Requires more than the expected level of supervision due to lower quality work or level of learning required to complete role successfully
  • Inconsistent interactions with peers and/or management

Successful (S)
  • Individuals who regularly meet and sometimes exceed expectations and role requirements
  • Meets goals set for the year Possesses full depth and breadth of role knowledge
  • Perceived by peers, managers, students and other customers as collaborative, skilled and reliable
  • Consistently interacts effectively with peers and/or management

Exceptional (E)
Individuals who significantly and consistently exceed expectations and role requirements Exceeds goals set for the year Demonstrates exceptional depth and breadth of role knowledge, highly recognized by others within the University community Demonstrates role model behavior for other supervisors/staff members to emulate

2551/02/19

CORE COMPETENCY


core competency is something that a firm can do well and that meets the following three conditions specified by Hamel and Prahalad (1990):


It provides customer benefits It is hard for competitors to imitate It can be leveraged widely to many products and markets. A core competency can take various forms, including technical/subject matter know how, a reliable process, and/or close relationships with customers and suppliers (Mascarenhas et al. 1998). It may also include product development or culture such as employee dedication. Modern business theories suggest that most activities that are not part of a company's core competency should be outsourced.


If a core competency yields a long term advantage to the company, it is said to be a sustainable competitive advantage.

2551/02/18

The Main Causes of Liver Damage are

ถ้าหากคุณยังมีปัญหาในการนอนหลับ พิษและของเสียที่อยู่ในร่างกายย่อมจะสะสมและเป็นปัญหาต่อสุขภาพและอารมณ์ของคุณเอง
The main causes of liver damage are: สาเหตุหลักที่ทำลายตับของคุณคือ

1. Sleeping too late and waking up too late are the primary causes.
นอนดึกและตื่นสายเป็นต้นเหตุลำดับต้น ๆ

2. Not urinating in the morning.
การไม่ปัสสาวะในตอนเช้า

3. Too much eating.
ทานจุเป็นประจำ

4. Skipping breakfast.
ไม่รับประทานอาหารเช้า

5. Consuming too much medication.
บริโภคยามากเกินไป

6. Consuming too much preservatives, additives, food coloring, and artifi cial sweetener.
บริโภคอาหารที่มีส่วนผสมของวัตถุกันเสีย สีผสมอาหาร วัตถุปรุงแต่ง และน้ำตาลเทียม

7. Consuming unhealthy cooking oil. As much as possible reduce cooking oil use when frying, which includes even the best cooking o ils like olive oil. Do not consume fried foods when you are tired, except if the body is very fit.
บริโภคน้ำมันที่ใช้ทำอาหารซึ่งด้อยคุณภาพและไม่เป็นประโยชน์ ถ้าหากคุณสามารถลดปริมาณการใช้น้ำมันในการทอดอาหารซึ่งรวมถึงการใช้น้ำมันที่ดีที่สุดที่ใช้ทำ อาหารเช่นน้ำมันมะกอก จงหลีกเลี่ยงการบริโภคของทอดเมื่อคุณมีอาการเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลีย ยกเว้นถ้าหากร่างกายคุณฟิต

8. Consuming overly done foods also add to the burden of liver. Veggies should be eaten raw or cooked 3-5 parts. Fried veggies should be finished in one sitting, do not store.
บริโภคอาหารที่ผ่านการปรุงมากเกินไปย่อมสร้างภาระแก่ตับ ผักควรทานสด ๆ หรือผ่านการทำให้สุกเพียง 3-5 ส่วน ผักที่ผ่านการผัดควรจะบริโภคให้หมดในมื้อเดียว อย่าเก็บไว้ทานในมื้ออื่น ๆ

We just have to adopt a go od daily lifestyle and eating habits. Maintaining good eating habits and time condition are very important for our body to absorb and get rid of unnecessary chemicals according to 'schedule.'
เราจะต้องพยายามปรับวิถีการดำเนินชีวิตโดยเฉพาะนิสัยการกินการปลูกฝังนิสัยการกินที่ดีและดูแลปัจจัยเรื่องเวลาเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ร่างกายของเราได้รับป ระโยชน์และสามารถกำจัดสารที่ไม่เป็นประโยชน์ในร่างกายตามตารางเวลาที่ควรจะเป็น

Because:
เพราะ

Evening at 9 - 11pm : is the time for eliminating unnecessary/ toxic chemic als (de-toxification) from the antibody system (lymph nodes). This time duration should be spent by relaxing or listening to music. If during this time a housewife is still in an unrelaxed state such as washing the dishes or monitoring children doing their homework, this will have a negative impact on her health.
ช่วงเวลากลางคืน 3 ทุ่ม - 5 ทุ่ม : เป็นระยะเวลาที่ร่างกายจะกำจัดสารพิษต่าง ๆ โดยระบบต่อต้านเชื้อโรคในร่างกาย (ระบบหมุนเวียนของน้ำเหลืองในร่างกาย) ช่วงเวลานี้ควรจะต้องถูกใช้ไปในการพักผ่อนหรือผ่อนคลายด้วยการฟังดนตรี ถ้าหากช่วงเวลานี้แม่บ้านยังคงวุ่นอยู่กับงานบ้านเช่นล้างจานหรือดูและเด็กให้ทำการบ้าน เป็นต้น สิ่งเหล่านี้จะเป็นผลลบต่อร่างกาย

Evening at 11pm - 1am : The de-toxification process in the liver, and ideally should be done in a deep sleep state. Early morning 1 - 3am : de-toxification process in the gal l, also ideally done in a deep sleep state.
ช่วงเวลากลางคืน 5 ทุ่ม - ตี 1 : กระบวนการกำจัดสารพิษในตับ และแน่นอนควรจะต้องอยู่ในช่วงการนอนหลับสนิท ในช่วงเช้าระหว่างเวลาตี 1 ถึง ตี 3 นั้น กระบวนการกำจัดสารพิษในน้ำดีก็ควรจะเป็นช่วงแห่งการนอนหลับสนิทเช่นกัน

Early morning 3 - 5am : de-toxification in the lungs. Therefore there will sometimes be a severe cough for cough sufferers during this time. Since the de-toxification process had reached the respiratory tract, there is no need to take cough medicine so as not to interfere with toxin removal process.
ช่วงเวลาตี 3 - ตี 5 : การกำจัดสารพิษในปอดเพราะฉนั้นอาจจะมีอาการไออย่างรุนแรงสำหรับผู้ที่มีปัญหาการไอในช่วงเวลาดังกล่าว ตอนนี้กระบวนการกำจัดสารพิษจะเข้าสู่ระบบท างเดินหายใจแล้ว และก็ไม่จำเป็นที่คุณจะใช้ยาแก้ไอเพื่อที่จะได้ไม่ไปขัดขวางขั้นตอนการกำจัดสารพิษในร่างกาย

Morning 5 - 7am : de-toxification in the colon, you should empty your bowel.
ช่วงเช้า ตี 5 - 7 โมงเช้า : การกำจัดสารพิษในปลายลำไส้ใหญ่ ก็ถึงเวลาที่จะต้องทำให้พุงและลำไส้ของคุณว่างลง

Morning 7 - 9am : Absorption of nutrients in the small intestine, you should be having breakfast at this time. Breakfast should be earlier, before 6:30am, for those who are sick. Breakfast before 7:30am is very beneficial to those wanting to stay fit. Those who always skip breakfast, they should change their habits, and it is still better to eat breakfast late until 9 -10am rather than no meal at all. Sleeping so late and waking up too late will disrupt the process of removing unnecessary chemicals. Aside from that, midnight to 4am is the time when the bone marrow produces blood.
ช่วงเช้า 7 - 9 โมงเช้า : การดูดซึมสารอาหารสู่ล ำไส้เล็ก คุณควรจะต้องทานอาหารเช้าในช่วงเวลานี้ อาหารเช้าควรจะก่อน 6.30 น. สำหรับผู้ป่วย อาหารเช้าที่ทานก่อน 7.30 น. นั้นดีต่อผู้ที่ต้องการมีร่างกายสุขภาพแข็งแรงอยู่เสมอ ผู้ใดที่ไม่ทานอาหารเช้าตลอดเวลาควรจะต้องรีบเปลี่ยนพฤติกรรมนี้เสีย และการทานอาหารเช้าในช่วงสายตั้งแต่ 9 - 10 น. ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรลงไปในท้องเลย การนอนดึกตื่นสายนั้นเป็นปัญหาต่อกระบวนการทำลายของเสียในร่างหาย นอกจากนั้นช่วงเที่ยงคืนถึงตี 4 ก็ยังเป็นเวลาที่ร่างกายผลิตเลือด

Therefore, have a good sleep and don't sleep late.
เพราะฉนั้น อย่านอนดึกและอย่านอนตื่นสาย

Sharing Is Caring!
การแบ่งปันเป็นการแสดงความห่วงใย

Live Well & Worry Less.
ขอให้มีสุขภาพดีและไม่มีความกังวล