2552/02/28
บันทึกประวัติศาสตร์ โบสถ์เก่าเซนต์ปอล แปดริ้ว
บันทึกประวัติศาสตร์
โบสถ์เก่าเซนต์ปอล แปดริ้วอนุสรณ์แห่ง "ศรัทธา สร้างสรรค์ และสืบทอด"
ในสมัยรัชกาลที่ 3 ค.ศ.1749 (พ.ศ.2337) ที่ริมฝั่งของแม่น้ำบางปะกง บริเวณวัดเซนต์แอนโทนี ปัจจุบัน คริสตชน ชาวจีนกลุ่มหนึ่งจากแผ่นดินใหญ่ ประเทศจีน ได้เดินทางเข้ามาเป็นกรรมกรในไร่อ้อย เป็นที่รู้จักกันดี นามหนึ่งว่า "เปโตร ลือ แซ่ซุ้ม" ซึ่งเกิดในสมัย กรมรักษ์รณเรศได้รับโปรดเกล้า ให้สร้างเมืองฉะเชิงเทรา
ปี ค.ศ.1838 (พ.ศ.2381) บาทหลวงปาเลอกัว ได้มาเยี่ยมกลุ่มคริสตชนที่แปดริ้ว และบางปลาสร้อยปี ค.ศ.1872 (พ.ศ.2415) บาทหลสงอันตน ชมิตต์ ได้รวบรวมเงินบริจาค ซื้อที่ดินแปลงหนึ่ง ณ บริเวณแห่งนี้ และได้สร้างโบสถ์หลังนี้โดยใช้ฝีมือช่างก่อสร้างชาวจีน ที่ปรากฎอยู่ด้วยความยากลำบากโดยทางเรือ การก่อสร้างล้วนแสดงถึงความชำนาญด้วยอิฐที่มั่นคง แข็งแรงและสวยงาม ที่หน้าโบสถ์เขียนอักษรจีน อ่านว่า "เทียงจู้เซี๊ยตึ่ง" (แต้จิ๋ว) (จีนกลาง จะอ่านว่า เทียนจู้ เซิงทั่ง) อันแปลว่า "บ้านศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า"
ในปี ค.ศ.1971 (พ.ศ.2514) ได้ทำการรื้อโบสถ์หลังนี้เพื่อปรับบริเวณพื้นที่สร้างโบสถ์หลังใหม่ โดยใช้รถขนาด 10 ล้อ ฉุดผนังส่วนหน้าโบสถ์ให้ล้มลง แต่ทว่า ไม่สามารถรั้งความแข็งแกร่งของผนังโบสถ์ได้ จึงมีผลให้ผนังโบสถ์ที่มีอายุเก่าแก่ส่วนนี้ ยังคงให้เราได้มีโอกาสเห็นคุณค่า และศึกษาประวัติศาสตร์ ชุมชนคริสตชนแห่งนี้ด้วยความภาคภูมิใจต่อไป
(ทวี อานามวัฒน์ บันทึก)
ด้านบนที่เป็นบันทึกนี้ มีการติดไว้ที่บริเวณพื้นที่กำแพงวัดแห่งนี้ ดังนั้นจึงขออนุญาตนำมาลงไว้ให้กับผู้ที่สนใจได้อ่านและศึกษาร่วมกัน วันที่ไปเก็บภาพเหล่านี้ ไม่ได้เข้าไปที่ภายในวัด จึงถ่ายได้มาแต่บริเวณภายนอก และทั่วๆ ไปของวัดนักบุญเปาโล หรือในภาษาอังกฤษว่า St. Paul
THAILAND CHACHENGSAO
2552/02/26
มุมมองชุมชนใกล้เคียงวัดเซนต์ปอล แปดริ้ว จ.ฉะเชิงเทรา
2552/02/24
ต้องอยู่ ด้วย "บุญ" ธุรกิจถึงจะ "ถาวร"
บริษัทในเครือบุญถาวรเซรามิค
ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2521 และดำเนินการขยายกิจการจนมาถึงปัจจุบัน ผู้นำองค์กรนี้บริหารงานโดยอาศัยข้อมูลในอดีตมาประกอบการตัดสินใจ ซึ่งสามารถอธิบายได้ดังต่อไปนี้
ช่วงแรก ปี พ.ศ.2515 – 2525
เจ้าของธุรกิจผู้บุกเบิก บุญถาวร พื้นเพเป็นคนกรุงเทพ และครอบครัวทางกิจการค้าขายวัสดุก่อสร้างและปูนซิเมนต์ แถวมหาพฤฒธาราม ในช่วงปี พ.ศ.2521 ได้ย้ายธุรกิจครอบครัวไปที่บริเวณชานเมือง ถ.งามวงศ์วาน เพราะเล็งเห็นว่าเศรษฐกิจไทยได้ขยายตัวขึ้น และผู้คนมีกำลังซื้อค่อนข้างสูง ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โครงการบ้านจัดสรรกำลังเป็นที่นิยม และกระจายออกไปชานเมืองมากขึ้น ประกอบกับการห้ามนำเข้าสุขภัณฑ์และกระเบื้องเซรามิคจากต่างประเทศ ทำให้ราคาสินค้าสองประเภทนี้ค่อนข้างแพง และสามารถทำตลาดใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นได้ พร้อมกับเริ่มพิจารณาตลาดค้าวัสดุในแนวใหม่ โดยมุ่งเน้นเฉพาะที่ กระเบื้องเซรามิคปูพื้น – บุผนัง และสุขภัณฑ์เซรามิค ช่วงที่ย้ายไปที่งามวงศ์วาน ได้ใช้กลยุทธ์การเปลี่ยนโฉมหน้าร้านค้าสุขภัณฑ์ เพื่อตอบสนองลูกค้าเจ้าของบ้านซึ่งมาเลือกสรรวัสดุ และสุขภัณฑ์ด้วยตนเอง จึงได้เริ่มทำ ห้องน้ำตัวอย่าง (Mock-up Room) เพื่อให้ลูกค้าสามารถมองเห็นภาพ เกิดจินตนาการสิ่งที่ลูกค้าต้องการได้อย่างชัดเจน ทำให้สามารถตัดสินใจเลือกสินค้าได้เหมาะสมกับความต้องการ และงบประมาณที่ลูกค้ามีอยู่ได้
โดยมีการอบรมพนักงานให้มีความรู้ ความชำนาญให้คำแนะนำและตอบข้อข้องใจต่างๆ ซึ่งขณะนั้นร้านอื่นๆ ยังคงให้เจ้าของร้านทำหน้าที่นี้ ซึ่งก็นับว่าเป็นการเพิ่มโอกาสการขาย และการรับรองลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น ร้านค้าใหม่นี้ได้ถูกปรับเปลี่ยนการจัดวางสินค้า ให้คล้ายกับห้างสรรพสินค้า และมีการติดตั้งเครื่องปรับอากาศในร้าน ตลอดจนมีการจัดให้มีการโชว์สินค้าทุกยี่ห้อ ให้ลงสนามแข่งขันกันอย่างเสรี
ช่วงที่สอง ปี พ.ศ.2526-2535
ร้านที่งามวงศ์วานได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ทำให้ธุรกิจค้าเซรามิค สุขภัณฑ์นี้คึกคักขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้เจ้าของธุรกิจได้มองหาทำเลใหม่ในการตั้งร้านค้าให้ใหญ่กว่าเดิม เนื่องจากที่เดิมนั้นเป็นตึกแถวไม่กี่คูหา ด้วยถือหลักในการบริหารว่า หากร้านจำหน่ายของดี มีคุณภาพ ราคาเหมาะสม ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนลูกค้าก็จะยังติดตามไปใช้บริการ และแหล่งใหม่ก็คือ ถ.รัชดาภิเษก โดยมาเปิดกิจการในปี พ.ศ.2527 และมีการนำเสนอสิ่งใหม่ๆ ให้กับลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ ตลอดจนมีการออกแบบและปรับเปลี่ยนห้องน้ำตัวอย่างให้ลูกค้าได้ชม ทุก 3-4 เดือน ทำให้กการขายสินค้ามีจำนวนมากขึ้น ดังนั้น บุญถาวรจึงได้เริ่มนำระบบคอมพิวเตอร์ เข้ามาช่วยในการควบคุมปริมาณงาน และลดต้นทุน โดยเฉพาะช่วยในด้านการเช็คจำนวนสินค้าคงคลังควบคู่ไปกับระบบการจัดจำหน่าย พนักงานหน้าร้านสามารถเช็คสินค้าที่ลูกค้าต้องการที่มีอยู่ในคลังสินค้าได้อย่างถูกต้อง และระบบคอมพิวเตอร์นี้ยังช่วยในการออกใบเสร็จรับเงิน และใบกำกับภาษีตามระบบการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มได้อย่างถูกต้อง เป็นเจ้าแรกของร้านค้าสุขภัณฑ์
ช่วงที่สาม ปี พ.ศ.2536-2545
จากสภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัวรวดเร็วทำให้มีการตัดสินใจลงทุนเพิ่มเติมกับเพื่อน และขยายสาขาออกไปเพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยเปิดที่ สาขารังสิต (พ.ศ.2537) , สาขาปิ่นเกล้า และบางนา (พ.ศ.2538) และสาขาธนบุรีปากท่อ (พ.ศ.2543)
ธุรกิจมีการขยายในแนวกว้าง และก็ย่อมมีการขยายในแนวลึก ตั้งแต่ธุรกิจต้นน้ำ ถึงปลายน้ำ กล่าวคือ ได้ขยายการลงทุนเปิดบริษัท ผลิตสินค้า และนำเข้ากระเบื้องเซรามิค จากต่างประเทศ หลังจากที่รัฐบาลยกเลิกการห้ามนำเข้า ทำให้มีบุญถาวร สามารถมีสินค้าที่มีความแตกต่าง และหลากหลายกว่าร้านค้าอื่นๆ ที่มีอยู่ในตลาด
ในระยะเวลาที่มีการขยายงานและความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในบุญถาวร ทำให้การบริหารงานหลายอย่างปรับเปลี่ยน จากระบบการทำงานในรูปแบบครอบครัว ได้พัฒนาขึ้นเป็นการทำงานในรูปแบบของบริษัทอย่างเต็มตัว มีการกระจายอำนาจบริหารสู่มืออาชีพจากองค์กรภายนอก มีการแสวงหาบุคลากรที่มีความชำนาญ ความสามารถเฉพาะด้านมาร่วมงานด้วย
ช่วงที่สี่ ปี พ.ศ.2546- ปัจจุบัน
คณะผู้บริหารในองค์กรได้ปรับกลยุทธ์โดยการมุ่งเน้นพัฒนาคน พัฒนาองค์กรมากขึ้น โดยมุ่งเน้นใน 3 ด้านของการพัฒนาคน ได้แก่
ด้านความรู้-มีการจัดฝึกอบรมพนักงานเก่าในด้านการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ เช่น การออกแบบ 3 มิติ เป็นต้น และจัดฝึกอบรมให้กับพนักงานใหม่ได้ด้านความรู้สินค้าที่บุญถาวรจำหน่ายทั้งหมด
ด้านทักษะ-มุ่งเน้นในทักษะการขาย สำหรับพนักงานใหม่ๆ ที่เข้ามา โดยใช้ระบบพี่เลี้ยง และการฝึกอบรมเป็นเครื่องมือในการสอนทักษะเหล่านี้ สำหรับพนักงานสายวิชาชีพ เช่น สถาปนิก, มัณฑนากร ได้มีการจัดให้มีทักษะในการพูดคุยกับลูกค้า และรับความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด เพื่อให้การออกแบบนั้นสามารถเข้าถึง และเข้าใจลูกค้าได้อย่างครบถ้วน เพื่อให้แบบห้องน้ำ ห้องครัว ที่ออกมานั้นสามารถขายได้ทันที
ด้านทัศนคติ-มีการอบรมและให้หัวหน้างานเป็นคนบอกกล่าว และจัดให้มีการแลกเปลี่ยนทัศนคติในการทำงานระหว่างหน่วยงานอีกด้วย ตลอดจนเปิดโอกาสให้พนักงานทุกระดับ ได้มีส่วนร่วมในการแสดงออก และสามารถแสดงความคิดเห็นในงานที่ตนเองปฏิบัติหรือรับผิดชอบอยู่ได้อย่างเต็มที่ เช่น โครงการ KAIZEN ที่ให้พนักงานในทุกระดับ ทุกฝ่าย ได้เสนอความคิดเพื่อปรับปรุงวิธีการทำงาน หรือระบบในการทำงานที่ตนเองรับผิดชอบอยู่ โดยมีการประกวดและนำความคิดเหล่านั้นมาปฏิบัติจริงต่อไป
ช่วงแรก ปี พ.ศ.2515 – 2525
เจ้าของธุรกิจผู้บุกเบิก บุญถาวร พื้นเพเป็นคนกรุงเทพ และครอบครัวทางกิจการค้าขายวัสดุก่อสร้างและปูนซิเมนต์ แถวมหาพฤฒธาราม ในช่วงปี พ.ศ.2521 ได้ย้ายธุรกิจครอบครัวไปที่บริเวณชานเมือง ถ.งามวงศ์วาน เพราะเล็งเห็นว่าเศรษฐกิจไทยได้ขยายตัวขึ้น และผู้คนมีกำลังซื้อค่อนข้างสูง ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โครงการบ้านจัดสรรกำลังเป็นที่นิยม และกระจายออกไปชานเมืองมากขึ้น ประกอบกับการห้ามนำเข้าสุขภัณฑ์และกระเบื้องเซรามิคจากต่างประเทศ ทำให้ราคาสินค้าสองประเภทนี้ค่อนข้างแพง และสามารถทำตลาดใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นได้ พร้อมกับเริ่มพิจารณาตลาดค้าวัสดุในแนวใหม่ โดยมุ่งเน้นเฉพาะที่ กระเบื้องเซรามิคปูพื้น – บุผนัง และสุขภัณฑ์เซรามิค ช่วงที่ย้ายไปที่งามวงศ์วาน ได้ใช้กลยุทธ์การเปลี่ยนโฉมหน้าร้านค้าสุขภัณฑ์ เพื่อตอบสนองลูกค้าเจ้าของบ้านซึ่งมาเลือกสรรวัสดุ และสุขภัณฑ์ด้วยตนเอง จึงได้เริ่มทำ ห้องน้ำตัวอย่าง (Mock-up Room) เพื่อให้ลูกค้าสามารถมองเห็นภาพ เกิดจินตนาการสิ่งที่ลูกค้าต้องการได้อย่างชัดเจน ทำให้สามารถตัดสินใจเลือกสินค้าได้เหมาะสมกับความต้องการ และงบประมาณที่ลูกค้ามีอยู่ได้
โดยมีการอบรมพนักงานให้มีความรู้ ความชำนาญให้คำแนะนำและตอบข้อข้องใจต่างๆ ซึ่งขณะนั้นร้านอื่นๆ ยังคงให้เจ้าของร้านทำหน้าที่นี้ ซึ่งก็นับว่าเป็นการเพิ่มโอกาสการขาย และการรับรองลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น ร้านค้าใหม่นี้ได้ถูกปรับเปลี่ยนการจัดวางสินค้า ให้คล้ายกับห้างสรรพสินค้า และมีการติดตั้งเครื่องปรับอากาศในร้าน ตลอดจนมีการจัดให้มีการโชว์สินค้าทุกยี่ห้อ ให้ลงสนามแข่งขันกันอย่างเสรี
ช่วงที่สอง ปี พ.ศ.2526-2535
ร้านที่งามวงศ์วานได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ทำให้ธุรกิจค้าเซรามิค สุขภัณฑ์นี้คึกคักขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้เจ้าของธุรกิจได้มองหาทำเลใหม่ในการตั้งร้านค้าให้ใหญ่กว่าเดิม เนื่องจากที่เดิมนั้นเป็นตึกแถวไม่กี่คูหา ด้วยถือหลักในการบริหารว่า หากร้านจำหน่ายของดี มีคุณภาพ ราคาเหมาะสม ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนลูกค้าก็จะยังติดตามไปใช้บริการ และแหล่งใหม่ก็คือ ถ.รัชดาภิเษก โดยมาเปิดกิจการในปี พ.ศ.2527 และมีการนำเสนอสิ่งใหม่ๆ ให้กับลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ ตลอดจนมีการออกแบบและปรับเปลี่ยนห้องน้ำตัวอย่างให้ลูกค้าได้ชม ทุก 3-4 เดือน ทำให้กการขายสินค้ามีจำนวนมากขึ้น ดังนั้น บุญถาวรจึงได้เริ่มนำระบบคอมพิวเตอร์ เข้ามาช่วยในการควบคุมปริมาณงาน และลดต้นทุน โดยเฉพาะช่วยในด้านการเช็คจำนวนสินค้าคงคลังควบคู่ไปกับระบบการจัดจำหน่าย พนักงานหน้าร้านสามารถเช็คสินค้าที่ลูกค้าต้องการที่มีอยู่ในคลังสินค้าได้อย่างถูกต้อง และระบบคอมพิวเตอร์นี้ยังช่วยในการออกใบเสร็จรับเงิน และใบกำกับภาษีตามระบบการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มได้อย่างถูกต้อง เป็นเจ้าแรกของร้านค้าสุขภัณฑ์
ช่วงที่สาม ปี พ.ศ.2536-2545
จากสภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัวรวดเร็วทำให้มีการตัดสินใจลงทุนเพิ่มเติมกับเพื่อน และขยายสาขาออกไปเพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยเปิดที่ สาขารังสิต (พ.ศ.2537) , สาขาปิ่นเกล้า และบางนา (พ.ศ.2538) และสาขาธนบุรีปากท่อ (พ.ศ.2543)
ธุรกิจมีการขยายในแนวกว้าง และก็ย่อมมีการขยายในแนวลึก ตั้งแต่ธุรกิจต้นน้ำ ถึงปลายน้ำ กล่าวคือ ได้ขยายการลงทุนเปิดบริษัท ผลิตสินค้า และนำเข้ากระเบื้องเซรามิค จากต่างประเทศ หลังจากที่รัฐบาลยกเลิกการห้ามนำเข้า ทำให้มีบุญถาวร สามารถมีสินค้าที่มีความแตกต่าง และหลากหลายกว่าร้านค้าอื่นๆ ที่มีอยู่ในตลาด
ในระยะเวลาที่มีการขยายงานและความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในบุญถาวร ทำให้การบริหารงานหลายอย่างปรับเปลี่ยน จากระบบการทำงานในรูปแบบครอบครัว ได้พัฒนาขึ้นเป็นการทำงานในรูปแบบของบริษัทอย่างเต็มตัว มีการกระจายอำนาจบริหารสู่มืออาชีพจากองค์กรภายนอก มีการแสวงหาบุคลากรที่มีความชำนาญ ความสามารถเฉพาะด้านมาร่วมงานด้วย
ช่วงที่สี่ ปี พ.ศ.2546- ปัจจุบัน
คณะผู้บริหารในองค์กรได้ปรับกลยุทธ์โดยการมุ่งเน้นพัฒนาคน พัฒนาองค์กรมากขึ้น โดยมุ่งเน้นใน 3 ด้านของการพัฒนาคน ได้แก่
ด้านความรู้-มีการจัดฝึกอบรมพนักงานเก่าในด้านการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ เช่น การออกแบบ 3 มิติ เป็นต้น และจัดฝึกอบรมให้กับพนักงานใหม่ได้ด้านความรู้สินค้าที่บุญถาวรจำหน่ายทั้งหมด
ด้านทักษะ-มุ่งเน้นในทักษะการขาย สำหรับพนักงานใหม่ๆ ที่เข้ามา โดยใช้ระบบพี่เลี้ยง และการฝึกอบรมเป็นเครื่องมือในการสอนทักษะเหล่านี้ สำหรับพนักงานสายวิชาชีพ เช่น สถาปนิก, มัณฑนากร ได้มีการจัดให้มีทักษะในการพูดคุยกับลูกค้า และรับความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด เพื่อให้การออกแบบนั้นสามารถเข้าถึง และเข้าใจลูกค้าได้อย่างครบถ้วน เพื่อให้แบบห้องน้ำ ห้องครัว ที่ออกมานั้นสามารถขายได้ทันที
ด้านทัศนคติ-มีการอบรมและให้หัวหน้างานเป็นคนบอกกล่าว และจัดให้มีการแลกเปลี่ยนทัศนคติในการทำงานระหว่างหน่วยงานอีกด้วย ตลอดจนเปิดโอกาสให้พนักงานทุกระดับ ได้มีส่วนร่วมในการแสดงออก และสามารถแสดงความคิดเห็นในงานที่ตนเองปฏิบัติหรือรับผิดชอบอยู่ได้อย่างเต็มที่ เช่น โครงการ KAIZEN ที่ให้พนักงานในทุกระดับ ทุกฝ่าย ได้เสนอความคิดเพื่อปรับปรุงวิธีการทำงาน หรือระบบในการทำงานที่ตนเองรับผิดชอบอยู่ โดยมีการประกวดและนำความคิดเหล่านั้นมาปฏิบัติจริงต่อไป
วิสัยทัศน์ในอนาคตของบุญถาวร “เป็นผู้นำศูนย์การค้าเกี่ยวกับวัสดุอุปกรณ์ของห้องน้ำ ห้องครัว ในระดับประเทศ” บริษัทฯ มีแผนการลงทุนขยายสาขา ออกไปในต่างจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นที่พัทยา, หัวหิน, เชียงใหม่, ภูเก็ต เป็นต้น และลงทุนด้านศูนย์กระจายสินค้า เพื่อให้การส่งสินค้าถึงมือลูกค้าด้วยความสะดวก รวดเร็ว และตรงตามเวลานัดหมาย อีกทั้งยังลงทุนด้านการพัฒนาบุคลากร เพื่อนำไปสู่ความก้าวหน้าทางธุรกิจด้านนี้ของประเทศด้วยเจตนารมณ์อันแน่วแน่ในการไปสู่จุดหมายอันสูงสุด และต้องรับผิดชอบต่อสังคม พัฒนางานและคนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจนี้ ให้สามารถให้บริการสังคมด้วยคุณภาพระดับมาตรฐานของบุญถาวร
2552/02/22
ขำวันละนิด กับลูกหมูและพ่อหมู
ลูกหมูถามพ่อ... ลูกหมู 'ป่าป๊าถ้ามีตังตกอยู่ 5 บาท กับ 10 บาท ป่าป๊าจะเก็บเหรียญไหน' พ่อหมู 'ก็เก็บ 10 บาทซิ' ลูกหมู 'ป่าป๊าโง่จัง ทำไมถึงไม่เก็บทั้ง 2 เหรียญล่ะ'
ลูกหมู 'ป่าป๊า เมื่อ 3 เดือนก่อน มีคนมาทวงหนี้ ป่าป๊าบอกไม่มีตังค์ เดือนก่อนป่าป๊าก็บอกไม่มีอีก เพราะอะไรครับ' พ่อหมู 'คนเราพูดคำไหนก็ต้องเป็นคำนั้นนะลูก'
ลูกหมู 'ป่าป๊า ทำไมบ้านคนอื่นเขาใหญ่ แต่ทำไมบ้านเราถึงเล็ก' พ่อหมู 'เพราะป่าป๊าไม่ค่อยมีตังค์' ลูกหมู 'แล้วทำยังไง เราถึงจะมีบ้านใหญ่ๆ ล่ะครับ' พ่อหมู 'หนูก็ต้องตั้งใจเรียนหนังสือ พอโตขึ้นก็ทำงานได้เงินเยอะๆ ซื้อบ้านหลังใหญ่ๆ' ลูกหมู 'แล้วทำไมตอนเด็กๆ ป่าป๊าถึงไม่ตั้งใจเรียนหนังสือ'
2552/02/18
ภาพวัดภายในมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ บางนา สุวรรณภูมิ
2552/02/16
วัดใน เอแบค บางนา ABAC BANGNA
มีโอกาสได้ไปที่วัดภายใน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ บางนา เป็นครั้งแรก และได้ถ่ายรูปความสวยงามของวัดไว้ด้วย.. เข้าไปในมหาวิทยาลัยแล้วคิดว่าอยู่ที่ยุโรป ถ้าอากาศตอนหน้าหนาวแล้วใส่เสื้อกันหนาว สวยๆ ไปถ่ายรูปแล้วบอกกับเพื่อนๆ ว่าไปยุโรปมา คิดว่าก็คงมีคนเชื่อแน่ๆ ครับ
การเดินทางขับรถไปตามถ.บางนาตราด ถึงกม.ที่24 แล้วก็ออกทางขนาน เพื่อเตรียมตัวเข้าซอยของวัดศิริบางเสาธง ระวังเลย.. และก่อนหน้านี้จะไม่ค่อยมีไป มหาวิทยาลัย เพื่อบอกทางเท่าไรนะครับ.... ประมาณ กม.26 เลี้ยวซ้ายเข้าไปแล้วก็วิ่งตามไปบอกทางก็จะเห็นมหาวิทยาลัยมีทางเข้าอยู่ด้านซ้ายมืออีดทีหนึ่ง
แล้วจะนำภาพสวยๆ มาฝากกันครับ
การเดินทางขับรถไปตามถ.บางนาตราด ถึงกม.ที่24 แล้วก็ออกทางขนาน เพื่อเตรียมตัวเข้าซอยของวัดศิริบางเสาธง ระวังเลย.. และก่อนหน้านี้จะไม่ค่อยมีไป มหาวิทยาลัย เพื่อบอกทางเท่าไรนะครับ.... ประมาณ กม.26 เลี้ยวซ้ายเข้าไปแล้วก็วิ่งตามไปบอกทางก็จะเห็นมหาวิทยาลัยมีทางเข้าอยู่ด้านซ้ายมืออีดทีหนึ่ง
แล้วจะนำภาพสวยๆ มาฝากกันครับ
2552/02/09
อัศจรรย์แห่งชีวิต
ทุกคนมีความสุขอย่างมากในช่วงที่เด็กเกิด แต่ความสุขต้องหลีกทางให้กับความกังวลอย่างรวดเร็ว ทารกน้อยมีอาการแย่มาก ทีมกุมารแพทย์เริ่มลงมือรักษาทารกน้อยทันทีเมื่อเด็กคลอดและเกิดอาการผิดปกติ ดูเหมือนว่าทารกน้อยจำต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษในห้องไอซียูสำหรับเด็กเล็กเป็นเวลาอีกออย่างน้อยสองสัปดาห์ “ความหวังมีน้อยมาก ผู้เชี่ยวชาญด้านกุมารเวชพูด “เตรียมใจไว้บ้างก็ดีครับ” สามีภรรยาผู้เป็นพ่อและแม่ต้องปวดร้าวที่ต้องติดติดต่อสุสานท้องถิ่นเรื่องฝังศพแทนที่การวางแผนจัดห้องนอนเด็กอ่อน ไมเคิลเฝ้าอ้อนวอนพ่อกับแม่ให้พาเขาไปพบหน้าน้องสาวบ้าง “ผมอยากร้องเพลงกล่อมน้องฮะ” แต่ห้องไอซียูไม่อนุญาติให้เด็กเข้า แม่ตัดสินใจพาไมเคิลเข้าไปเพื่อให้ไมเคิลได้พบน้องสาวให้ได้ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม แม่จับไมเคิลใส่ชุดกันเชื้อโรคและพาเข้าห้องไอซียูในขณะที่พยาบาลสั่งห้ามทันทีที่เห็น แต่แม่ยืนยันหนักแน่น “เขาจะไม่ออกไปจนกว่าจะได้ร้องเพลงกล่อมน้อง” ไมเคิลจ้องทารกน้อยที่กำลังพ่ายแพ้ต่อชีวิต ครู่ต่อมาเขาเริ่มร้องเพลงจากหัวใจบริสุทธิ์ของเด็กวัยสามขวบ “You are my sunshine, my only sunshine, you make me happy when skies are grey.” ทารกน้อยดูเหมือนจะตอบสนองในทันที ชีพจรเธอเริ่มสงบลงและเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ “ร้องต่อไปเรื่อยๆ จ้ะ ลูกรัก” ไมเคิลเริ่มร้องต่อ “You’ll never know, dear, how much I love you , please don’t take my sunshine away.” น้องสาวไมเคิลเริ่มผ่อนคลายอย่างสงบ “ร้องต่อไปจ้ะ ไมเคิล” เวลานี้ทั้งแม่และพยาบาลน้ำตาไหลอาบแก้ม “You are my sunshine, my only sunshine, please don’t take my sunshine away.” ไมเคิลร้องดังก้อง
วันต่อมา วันรุ่งขึ้น ทารกน้อยมีอาการดีขึ้นตามลำดับจนหายและกลับบ้านได้ในที่สุด นิตยสารวูแมนส์เดย์ เรียกเหตุการณ์นี้ว่า “เพลงอัศจรรย์ของพี่ชาย” ส่วนทีมกุมารแพทย์เรียกมันว่า “อัศจรรย์” แต่แม่และไมเคิลขนานนามให้เป็น “อัศจรรย์ความรักของพระเจ้า”
เรียบเรียงจากเรื่องที่ 38 ในหนังสือ “อัศจรรย์แห่งชีวิต”*
*******************************
เรื่อง “อัศจรรย์” สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกยุคทุกสมัย ไม่เฉพาะแต่สมัยของพระเยซูเจ้าเท่านั้น แต่หากท่านที่ไม่เคยประสบกับตนเองก็จะไม่รู้สึกซาบซึ้งกับคำว่า “อัศจรรย์” หรือ “ปาฏิหาริย์” เท่ากับคนที่เคยประสบ ข้าพเจ้าอ่านเรื่องข้างต้นที่ยกมาจากหนังสือ “อัศจรรย์แห่งชีวิต” ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงเรื่องราวของสองสามีภรรยาสองคู่ ทั้งสองคู่มีภาวะความเสี่ยงที่บุตรจะเกิดมาเป็นโรคทาลัสซีเมีย*
ในสมัยก่อน 40 กว่าปีที่แล้ว ยังไม่มีการตรวจความสมบูรณ์ของทารกในครรภ์ก่อนคลอดเหมือนปัจจุบัน สามีภรรยาคู่แรกให้กำเนิดบุตรชายและบุตรสาวหลายคน แต่มีสองคนที่เป็นทาลัสซีเมียซึ่งเป็นโรคเลือดชนิดหนึ่งที่มีความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ ทำให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดแดงที่มีลักษณะผิดปกติแตกสลายเร็วกว่าที่ควร ทำให้มีอาการซีดเรื้อรัง เด็กน้อยทั้งสองคนไม่แข็งแรงตั้งแต่เกิด ต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อยๆ เพื่อรับการให้เลือด แพทย์แจ้งกับผู้เป็นพ่อและแม่ของเด็กน้อยทั้งสองว่า เด็กทั้งสองนี้จะมีอายุไม่นาน โดยทั่วไปไม่เกิน 15 ปี พ่อแม่ต้องทำใจ แต่ทั้งสองท่านมีศรัทธาในพระเจ้ามาก ขอพระพรจากพระเจ้าเพื่อบุตรชายทั้งสองของตนเสมอ จนเวลาล่วงเลยมา 40 กว่าปี บุตรชายคนหนึ่งได้จากไปก่อนด้วยวัยเพียงสามสิบกว่าๆ แต่บุตรชายอีกคนสามารถแต่งงานมีทายาทสืบสกุลที่สมบูรณ์ทุกประการได้อย่างน่าอัศจรรย์ ถึงแม้ว่าชีวิตของเขาทั้งสองจะไม่ยืนยาว แต่ก็มากพอที่เขาจะได้รับความรัก ความอบอุ่นจากพ่อแม่ และถ่ายทอดความรักนั้นสู่ลูกชายของเขาได้เช่นกัน “อัศจรรย์” ที่มีชีวิตอยู่ได้ยืนยาวมากกว่าที่แพทย์คาดการณ์ไว้กว่ายี่สิบปี เรื่องราว “อัศจรรย์” ทำนองนี้เกิดขึ้นเสมอ
และก็เกิดขึ้นกับสามีภรรยาคู่ที่สองที่ข้าพเจ้ากำลังจะกล่าวถึงซึ่งเป็นคู่ที่มีภาวะความเสี่ยงในการมีบุตรเป็นทาลัสซีเมีย (อัตรา1 ใน 4) เช่นเดียวกับคู่แรก แต่ทั้งคู่อยู่ในยุคปัจจุบันที่มีเทคโนโลยีทางการแพทย์เจริญก้าวหน้ามากแล้ว สามารถตรวจหาความเสี่ยงได้ก่อนเด็กคลอด (การวินิจฉัยก่อนคลอด Prenatal diagnosis) ทั้งคู่เลือกโรงพยาบาลที่ดีที่สุดเพื่อดูแลบุตรในครรภ์เป็นอย่างดี และแพทย์ก็ยืนยันว่าไม่พบความเสี่ยงดังกล่าว แต่ในเดือนที่แปดของการตั้งครรภ์ก็เกิดภาวะผิดปกติ ทำให้แพทย์ต้องตัดสินใจผ่าคลอด และเมื่อคลอดแล้วก็พบว่าทารกมีร่างกายไม่สมบูรณ์ คือมีโครโมโซมผิดปกติทำให้หัวใจของเด็กน้อยมีแค่ 3 ห้อง แพทย์แจ้งให้ทำใจ เพราะทั่วไปเด็กจะอยู่ได้ไม่เกิน 1 เดือน เด็กน้อยต้องอยู่ตู้อบในห้องไอซียูสำหรับเด็ก เมื่อทราบข่าวทุกคนในครอบครัวต่างเศร้าโศกเสียใจ อยากจะให้ “อัศจรรย์” หรือ “ปาฏิหาริย์” เกิดขึ้นทั้งๆ ที่ใจก็ยอมรับว่ามันเป็นไปไม่ได้ และแล้วเด็กน้อยก็ต้องจากไป สามีภรรยาผู้เป็นพ่อแม่ของเด็กน้อยคือผู้ที่ปวดร้าวที่สุด ยากที่จะทำใจยอมรับได้ และต้องพักฟื้นใจกันอีกระยะหนึ่ง
ทว่าทั้งสองคนและทุกคนในครอบครัวต่างเชื่อมั่น หากมี “ศรัทธา” สิ่งที่เราเชื่อมั่นจะต้องเป็นจริงได้ และข่าวดีก็เข้ามาให้ครอบครัวได้ดีใจกันอีกครั้ง เมื่อทราบว่าผู้เป็นภรรยาได้ตั้งครรภ์อีกครั้ง และครั้งนี้ทุกคนในครอบครัวร่วมกันแสดงความศรัทธาและวอนขอพระพรจากพระผู้เป็นเจ้า บทสวดสำคัญที่สวดกันในครอบครัวอย่างสม่ำเสมอในช่วงนั้น นอกจากการสวดสายประคำทุกวันแล้วนั้น นั่นคือบทสวด “พระเมตตา” ทุกวันศุกร์ และความชื่นชมยินดีก็มาถึง เมื่อครบกำหนดคลอด ครอบครัวก็ได้สมาชิกใหม่เป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู พวกเขาจึงตั้งนามนักบุญให้เด็กน้อยนี้ว่า “โฟสตินา”* เพื่อยืนยันถึง “พระเมตตา” ของพระเยซูเจ้า สายรุ้งและแสงแดดหลังพายุฝนกระหน่ำนั้นสวยงามเช่นไร ครอบครัวนี้เข้าใจความหมายได้อย่างลึกซึ้ง ถึงแม้ดูเหมือนว่าจะถูกทดลองความเชื่อมาก่อนที่จะพบกับความสุขก็ตาม
“อัศจรรย์”นั้นมีจริง และเกิดขึ้นได้กับทุกคนแสมอ หากเรา “เชื่อมั่น” และมี “ศรัทธา”
หมายเหตุ
* หนังสือ “อัศจรรย์แห่งชีวิต ฉบับความรักและมิตรภาพ” ยิตตา ฮัลเอบร์สแตม และจูดิธ เวลเวสนธัล เขียน / สิทธิพร ชุมชื่นจิตร์ เรียบเรีบง จาก Small Miracle of love & Friendship
* ทาลัสซีเมีย เป็นโรคเลือดชนิดหนึ่งที่มีความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ ทำให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดแดงที่มีลักษณะผิดปกติแตกสลายเร็วกว่าที่ควร ทำให้มีอาการซีดเหลืองเรื้อรัง ผู้ที่มีอาการแสดงของโรคนี้ จะต้องรับกรรมพันธุ์ที่
ผิดปกติมาจากทั้งฝ่ายพ่อและแม่ (ซึ่งอาจไม่มีอาการแสดง) ถ้ารับจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงฝ่ายเดียว จะไม่มีอาการแสดง แต่จะมีกรรมพันธุ์ที่ผิดปกติอยู่ในตัวและสามารถถ่ายทอดไปยังลูกหลานต่อไป ในประเทศไทยพบว่ามีกรรมพันธุ์ที่ผิดปกติของโรคนี้ โดยไม่แสดงอาการเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนอีสาน อาจมีถึง 40% ของประชากรทั่วไปที่มีกรรมพันธุ์ของโรคนี้ สาเหตุเกิดจากความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ ผู้ที่มียีนธาลัสซีเมียทั้งที่เป็นโรคและเป็นพาหะจะสามารถถ่ายทอดยีนที่ผิดปกติไปสู่ลูกหลานได้ ในกรณีที่พ่อหรือแม่เป็นพาหะเพียงคนเดียว โอกาสที่ลูกเป็นพาหะเท่ากับ 2 ใน 4 หรือครึ่งต่อครึ่ง แต่จะไม่มีลูกคนใดเป็นโรค ในกรณีที่พ่อและแม่เป็นพาหะของธาลัสซีเมียทั้งคู่โอกาสที่ลูกจะเป็นโรคเท่ากับ 1 ใน 4 โอกาสที่จะเป็นพาหะเท่ากับ 2 ใน 4 และ โอกาสที่จะปกติเท่ากับ 1 ใน 4 ในกรณีที่พ่อและแม่ ฝ่ายหนึ่งเป็นโรค และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นพาหะ โอกาสที่ลูกจะเป็นโรคเท่ากับ 2 ใน 4 และ โอกาสที่จะเป็นพาหะเท่ากับ 2 ใน 4 โดยลูกไม่มีโอกาสปกติเลย (ข้อมูลจาก ไทยแลปออนไลน์ เฮท์ลไซต์)
* นักบุญ “โฟสตินา” มีชื่อเดิมว่า เฮเลนา โควาลสกา เกิดเมื่อวันที่25 สิงหาคม ค.ศ.1905 ที่หมู่บ้านโกลโลวิค ประเทศโปแลนด์ เป็นบุตรคนที่ 3 ในจำนวนพี่น้อง 10 คน เมื่ออายุเกือบ 20 ปี ได้เข้าอารามภคินี คณะพระแม่แห่งความเมตตา สมาชิกคณะนี้อุทิศตนเพื่อดูแลให้การศึกษาแก่สตรีที่ประสบปัญหาชีวิต ปีต่อมาได้รับเครื่องแบบนักบวชและรับนามใหม่ว่า ซิสเตอร์มาเรีย โฟตตินา ปี 1928 พระเยซูเจ้าเริ่มเผยแสดงพระองค์ต่อท่าน ปี 1930 ซิสเตอร์โฟสตินา ได้รับสารแห่งพระเมตตาจากพระเยซูเจ้า และเริ่มเขียนบันทึกยาวกว่า 600 หน้า เกี่ยวกับการเผยแสดงต่างๆ ที่ได้รับเกี่ยวกับพระเมตตาของพระเป็นเจ้า เป็นเครื่องมือเน้นย้ำแผนการแห่งพระเมตตาของพระเป็นเจ้าสำหรับชาวโลก ชีวิตของท่านเลียนแบบองค์พระคริสตเจ้า ท่านพลีกรรมและมีชีวิตเพื่อผู้อื่น ท่านเต็มใจถวายความทุกข์ทรมานส่วนตัวร่วมกับพระองค์ เพื่อชดเชยบาปของผู้อื่น ทำกิจเมตตา กระตุ้นให้ผู้อื่นวางใจในพระเป็นเจ้า เพื่อเตรียมชาวโลกให้พร้อม สำหรับการเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่งของพระองค์ ท่านทำตามคำสอนของพระเป็นเจ้าที่ตรัสว่า "จงมีความเมตตากรุณา เหมือนพระบิดาของท่านผู้ทรงเมตตา" ท่านมรณกรรมเมื่อปี 1938
ซิสเตอร์โฟสตินาได้รับการสถาปนาเป็นนักบุญ โดยสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 เมื่อวันที่ 3 เมษายน ค.ศ.2000 พระองค์ตรัสในคำเทศน์ตอนหนึ่งว่า ชีวิตของซิสเตอร์ โฟสตินา โควาลสกา เป็นดังของประทานจากพระเป็นเจ้าเพื่อยุคสมัยของเรา ชีวิตที่ถ่อมตนของท่านเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 คนที่ยังจดจำได้ย่อมตระหนักดีว่า ณ เวลานั้นประชากรหลายล้านคนทั่วโลกต้องผจญกับความทุกข์ยากแสนทรมานเพียงไร ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่โลกต้องการสารแห่งความเมตตาเป็นอย่างยิ่ง
สิ่งสำคัญที่ต้องไม่ลืมคือ ความรักพระเป็นเจ้า และความรักต่อพี่น้อง ชาย หญิงทั้งหลาย ไม่อาจแยกจากกันได้ ดังที่จดหมายของนักบุญยอห์นได้เตือนเราว่า "เรารู้ว่าเรารักบรรดาบุตรของพระเจ้า เมื่อเรารักพระเจ้าและปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์" (1 ยอห์น 5:2) แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรักด้วยความรักที่ลึกซึ้ง โดยอาศัยตัวมนุษย์เองเท่านั้น แต่เราจะรักอย่างสิ้นสุดจิตใจได้ก็ต่อเมื่อได้เรียนรู้โดยซึมซับจากรหัสธรรมแห่งความรักของพระเป็นเจ้า เมื่อเพ่งมองพระองค์ซึ่งเต็มไปด้วยหัวใจแห่งความเป็นพ่อ ทำให้เรามีดวงตาใหม่ในการมองเพื่อนพี่น้องด้วยสายตาแห่งการไม่เห็นแก่ตัว เป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ใจกรุณา และการให้อภัย ทั้งหมดนี้คือความเมตตานั่นเอง
(ข้อมูลจาก อุดมศานต์ - มีนาคม 2006)
วันต่อมา วันรุ่งขึ้น ทารกน้อยมีอาการดีขึ้นตามลำดับจนหายและกลับบ้านได้ในที่สุด นิตยสารวูแมนส์เดย์ เรียกเหตุการณ์นี้ว่า “เพลงอัศจรรย์ของพี่ชาย” ส่วนทีมกุมารแพทย์เรียกมันว่า “อัศจรรย์” แต่แม่และไมเคิลขนานนามให้เป็น “อัศจรรย์ความรักของพระเจ้า”
เรียบเรียงจากเรื่องที่ 38 ในหนังสือ “อัศจรรย์แห่งชีวิต”*
*******************************
เรื่อง “อัศจรรย์” สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกยุคทุกสมัย ไม่เฉพาะแต่สมัยของพระเยซูเจ้าเท่านั้น แต่หากท่านที่ไม่เคยประสบกับตนเองก็จะไม่รู้สึกซาบซึ้งกับคำว่า “อัศจรรย์” หรือ “ปาฏิหาริย์” เท่ากับคนที่เคยประสบ ข้าพเจ้าอ่านเรื่องข้างต้นที่ยกมาจากหนังสือ “อัศจรรย์แห่งชีวิต” ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงเรื่องราวของสองสามีภรรยาสองคู่ ทั้งสองคู่มีภาวะความเสี่ยงที่บุตรจะเกิดมาเป็นโรคทาลัสซีเมีย*
ในสมัยก่อน 40 กว่าปีที่แล้ว ยังไม่มีการตรวจความสมบูรณ์ของทารกในครรภ์ก่อนคลอดเหมือนปัจจุบัน สามีภรรยาคู่แรกให้กำเนิดบุตรชายและบุตรสาวหลายคน แต่มีสองคนที่เป็นทาลัสซีเมียซึ่งเป็นโรคเลือดชนิดหนึ่งที่มีความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ ทำให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดแดงที่มีลักษณะผิดปกติแตกสลายเร็วกว่าที่ควร ทำให้มีอาการซีดเรื้อรัง เด็กน้อยทั้งสองคนไม่แข็งแรงตั้งแต่เกิด ต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อยๆ เพื่อรับการให้เลือด แพทย์แจ้งกับผู้เป็นพ่อและแม่ของเด็กน้อยทั้งสองว่า เด็กทั้งสองนี้จะมีอายุไม่นาน โดยทั่วไปไม่เกิน 15 ปี พ่อแม่ต้องทำใจ แต่ทั้งสองท่านมีศรัทธาในพระเจ้ามาก ขอพระพรจากพระเจ้าเพื่อบุตรชายทั้งสองของตนเสมอ จนเวลาล่วงเลยมา 40 กว่าปี บุตรชายคนหนึ่งได้จากไปก่อนด้วยวัยเพียงสามสิบกว่าๆ แต่บุตรชายอีกคนสามารถแต่งงานมีทายาทสืบสกุลที่สมบูรณ์ทุกประการได้อย่างน่าอัศจรรย์ ถึงแม้ว่าชีวิตของเขาทั้งสองจะไม่ยืนยาว แต่ก็มากพอที่เขาจะได้รับความรัก ความอบอุ่นจากพ่อแม่ และถ่ายทอดความรักนั้นสู่ลูกชายของเขาได้เช่นกัน “อัศจรรย์” ที่มีชีวิตอยู่ได้ยืนยาวมากกว่าที่แพทย์คาดการณ์ไว้กว่ายี่สิบปี เรื่องราว “อัศจรรย์” ทำนองนี้เกิดขึ้นเสมอ
และก็เกิดขึ้นกับสามีภรรยาคู่ที่สองที่ข้าพเจ้ากำลังจะกล่าวถึงซึ่งเป็นคู่ที่มีภาวะความเสี่ยงในการมีบุตรเป็นทาลัสซีเมีย (อัตรา1 ใน 4) เช่นเดียวกับคู่แรก แต่ทั้งคู่อยู่ในยุคปัจจุบันที่มีเทคโนโลยีทางการแพทย์เจริญก้าวหน้ามากแล้ว สามารถตรวจหาความเสี่ยงได้ก่อนเด็กคลอด (การวินิจฉัยก่อนคลอด Prenatal diagnosis) ทั้งคู่เลือกโรงพยาบาลที่ดีที่สุดเพื่อดูแลบุตรในครรภ์เป็นอย่างดี และแพทย์ก็ยืนยันว่าไม่พบความเสี่ยงดังกล่าว แต่ในเดือนที่แปดของการตั้งครรภ์ก็เกิดภาวะผิดปกติ ทำให้แพทย์ต้องตัดสินใจผ่าคลอด และเมื่อคลอดแล้วก็พบว่าทารกมีร่างกายไม่สมบูรณ์ คือมีโครโมโซมผิดปกติทำให้หัวใจของเด็กน้อยมีแค่ 3 ห้อง แพทย์แจ้งให้ทำใจ เพราะทั่วไปเด็กจะอยู่ได้ไม่เกิน 1 เดือน เด็กน้อยต้องอยู่ตู้อบในห้องไอซียูสำหรับเด็ก เมื่อทราบข่าวทุกคนในครอบครัวต่างเศร้าโศกเสียใจ อยากจะให้ “อัศจรรย์” หรือ “ปาฏิหาริย์” เกิดขึ้นทั้งๆ ที่ใจก็ยอมรับว่ามันเป็นไปไม่ได้ และแล้วเด็กน้อยก็ต้องจากไป สามีภรรยาผู้เป็นพ่อแม่ของเด็กน้อยคือผู้ที่ปวดร้าวที่สุด ยากที่จะทำใจยอมรับได้ และต้องพักฟื้นใจกันอีกระยะหนึ่ง
ทว่าทั้งสองคนและทุกคนในครอบครัวต่างเชื่อมั่น หากมี “ศรัทธา” สิ่งที่เราเชื่อมั่นจะต้องเป็นจริงได้ และข่าวดีก็เข้ามาให้ครอบครัวได้ดีใจกันอีกครั้ง เมื่อทราบว่าผู้เป็นภรรยาได้ตั้งครรภ์อีกครั้ง และครั้งนี้ทุกคนในครอบครัวร่วมกันแสดงความศรัทธาและวอนขอพระพรจากพระผู้เป็นเจ้า บทสวดสำคัญที่สวดกันในครอบครัวอย่างสม่ำเสมอในช่วงนั้น นอกจากการสวดสายประคำทุกวันแล้วนั้น นั่นคือบทสวด “พระเมตตา” ทุกวันศุกร์ และความชื่นชมยินดีก็มาถึง เมื่อครบกำหนดคลอด ครอบครัวก็ได้สมาชิกใหม่เป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู พวกเขาจึงตั้งนามนักบุญให้เด็กน้อยนี้ว่า “โฟสตินา”* เพื่อยืนยันถึง “พระเมตตา” ของพระเยซูเจ้า สายรุ้งและแสงแดดหลังพายุฝนกระหน่ำนั้นสวยงามเช่นไร ครอบครัวนี้เข้าใจความหมายได้อย่างลึกซึ้ง ถึงแม้ดูเหมือนว่าจะถูกทดลองความเชื่อมาก่อนที่จะพบกับความสุขก็ตาม
“อัศจรรย์”นั้นมีจริง และเกิดขึ้นได้กับทุกคนแสมอ หากเรา “เชื่อมั่น” และมี “ศรัทธา”
หมายเหตุ
* หนังสือ “อัศจรรย์แห่งชีวิต ฉบับความรักและมิตรภาพ” ยิตตา ฮัลเอบร์สแตม และจูดิธ เวลเวสนธัล เขียน / สิทธิพร ชุมชื่นจิตร์ เรียบเรีบง จาก Small Miracle of love & Friendship
* ทาลัสซีเมีย เป็นโรคเลือดชนิดหนึ่งที่มีความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ ทำให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดแดงที่มีลักษณะผิดปกติแตกสลายเร็วกว่าที่ควร ทำให้มีอาการซีดเหลืองเรื้อรัง ผู้ที่มีอาการแสดงของโรคนี้ จะต้องรับกรรมพันธุ์ที่
ผิดปกติมาจากทั้งฝ่ายพ่อและแม่ (ซึ่งอาจไม่มีอาการแสดง) ถ้ารับจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงฝ่ายเดียว จะไม่มีอาการแสดง แต่จะมีกรรมพันธุ์ที่ผิดปกติอยู่ในตัวและสามารถถ่ายทอดไปยังลูกหลานต่อไป ในประเทศไทยพบว่ามีกรรมพันธุ์ที่ผิดปกติของโรคนี้ โดยไม่แสดงอาการเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนอีสาน อาจมีถึง 40% ของประชากรทั่วไปที่มีกรรมพันธุ์ของโรคนี้ สาเหตุเกิดจากความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ ผู้ที่มียีนธาลัสซีเมียทั้งที่เป็นโรคและเป็นพาหะจะสามารถถ่ายทอดยีนที่ผิดปกติไปสู่ลูกหลานได้ ในกรณีที่พ่อหรือแม่เป็นพาหะเพียงคนเดียว โอกาสที่ลูกเป็นพาหะเท่ากับ 2 ใน 4 หรือครึ่งต่อครึ่ง แต่จะไม่มีลูกคนใดเป็นโรค ในกรณีที่พ่อและแม่เป็นพาหะของธาลัสซีเมียทั้งคู่โอกาสที่ลูกจะเป็นโรคเท่ากับ 1 ใน 4 โอกาสที่จะเป็นพาหะเท่ากับ 2 ใน 4 และ โอกาสที่จะปกติเท่ากับ 1 ใน 4 ในกรณีที่พ่อและแม่ ฝ่ายหนึ่งเป็นโรค และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นพาหะ โอกาสที่ลูกจะเป็นโรคเท่ากับ 2 ใน 4 และ โอกาสที่จะเป็นพาหะเท่ากับ 2 ใน 4 โดยลูกไม่มีโอกาสปกติเลย (ข้อมูลจาก ไทยแลปออนไลน์ เฮท์ลไซต์)
* นักบุญ “โฟสตินา” มีชื่อเดิมว่า เฮเลนา โควาลสกา เกิดเมื่อวันที่25 สิงหาคม ค.ศ.1905 ที่หมู่บ้านโกลโลวิค ประเทศโปแลนด์ เป็นบุตรคนที่ 3 ในจำนวนพี่น้อง 10 คน เมื่ออายุเกือบ 20 ปี ได้เข้าอารามภคินี คณะพระแม่แห่งความเมตตา สมาชิกคณะนี้อุทิศตนเพื่อดูแลให้การศึกษาแก่สตรีที่ประสบปัญหาชีวิต ปีต่อมาได้รับเครื่องแบบนักบวชและรับนามใหม่ว่า ซิสเตอร์มาเรีย โฟตตินา ปี 1928 พระเยซูเจ้าเริ่มเผยแสดงพระองค์ต่อท่าน ปี 1930 ซิสเตอร์โฟสตินา ได้รับสารแห่งพระเมตตาจากพระเยซูเจ้า และเริ่มเขียนบันทึกยาวกว่า 600 หน้า เกี่ยวกับการเผยแสดงต่างๆ ที่ได้รับเกี่ยวกับพระเมตตาของพระเป็นเจ้า เป็นเครื่องมือเน้นย้ำแผนการแห่งพระเมตตาของพระเป็นเจ้าสำหรับชาวโลก ชีวิตของท่านเลียนแบบองค์พระคริสตเจ้า ท่านพลีกรรมและมีชีวิตเพื่อผู้อื่น ท่านเต็มใจถวายความทุกข์ทรมานส่วนตัวร่วมกับพระองค์ เพื่อชดเชยบาปของผู้อื่น ทำกิจเมตตา กระตุ้นให้ผู้อื่นวางใจในพระเป็นเจ้า เพื่อเตรียมชาวโลกให้พร้อม สำหรับการเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่งของพระองค์ ท่านทำตามคำสอนของพระเป็นเจ้าที่ตรัสว่า "จงมีความเมตตากรุณา เหมือนพระบิดาของท่านผู้ทรงเมตตา" ท่านมรณกรรมเมื่อปี 1938
ซิสเตอร์โฟสตินาได้รับการสถาปนาเป็นนักบุญ โดยสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 เมื่อวันที่ 3 เมษายน ค.ศ.2000 พระองค์ตรัสในคำเทศน์ตอนหนึ่งว่า ชีวิตของซิสเตอร์ โฟสตินา โควาลสกา เป็นดังของประทานจากพระเป็นเจ้าเพื่อยุคสมัยของเรา ชีวิตที่ถ่อมตนของท่านเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 คนที่ยังจดจำได้ย่อมตระหนักดีว่า ณ เวลานั้นประชากรหลายล้านคนทั่วโลกต้องผจญกับความทุกข์ยากแสนทรมานเพียงไร ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่โลกต้องการสารแห่งความเมตตาเป็นอย่างยิ่ง
สิ่งสำคัญที่ต้องไม่ลืมคือ ความรักพระเป็นเจ้า และความรักต่อพี่น้อง ชาย หญิงทั้งหลาย ไม่อาจแยกจากกันได้ ดังที่จดหมายของนักบุญยอห์นได้เตือนเราว่า "เรารู้ว่าเรารักบรรดาบุตรของพระเจ้า เมื่อเรารักพระเจ้าและปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์" (1 ยอห์น 5:2) แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรักด้วยความรักที่ลึกซึ้ง โดยอาศัยตัวมนุษย์เองเท่านั้น แต่เราจะรักอย่างสิ้นสุดจิตใจได้ก็ต่อเมื่อได้เรียนรู้โดยซึมซับจากรหัสธรรมแห่งความรักของพระเป็นเจ้า เมื่อเพ่งมองพระองค์ซึ่งเต็มไปด้วยหัวใจแห่งความเป็นพ่อ ทำให้เรามีดวงตาใหม่ในการมองเพื่อนพี่น้องด้วยสายตาแห่งการไม่เห็นแก่ตัว เป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ใจกรุณา และการให้อภัย ทั้งหมดนี้คือความเมตตานั่นเอง
(ข้อมูลจาก อุดมศานต์ - มีนาคม 2006)
2552/02/03
Mind Map เขียนความคิดการทัวร์แสวงบุญ
เรื่องการแสวงบุญ วัดคาทอลิก ความคิดที่เขียนเรื่องนี้ เพราะต้องการสรุปเรื่องราวเพื่อรวบรวมประเด็นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งนับว่าเป็นการพักผ่อนของครอบครัว และให้แต่ละคนในบ้านได้ทราบว่า มีใครเกี่ยวข้อง และต้องทำอะไรต่อเนื่องบ้าง
แต่โดยส่วนใหญ่ก็จะเป็นตัวของผมเอง ที่จะต้องดำเนินการทั้งหมด
เริ่มตรงกลาง แล้ววนไปทางขวาบน คือ
•การเตรียมการ
oค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เนท ว่าวัดที่เราจะไปนั้นอยู่ในจังหวัดอะไร และ มีถนนการเดินทางเป็นอย่างไร ประกอบกับเก็บรูปภาพที่มีอยู่ในอินเตอร์เนทได้ดู หรือเทียบกับของจริงๆ ที่เราจะต้องไปเจอด้วยว่ามันจะเหมือนหรือต่างกันอย่างไร
oดูแผนที่จริง จากหนังสือท่องเที่ยวด้วยเพื่อให้สามารถจำได้ว่าจะต้องเดินทางไปอย่างไร และช่วยกันคิดตารางการเดินทางท่องเที่ยวในเบื้องต้นด้วยว่า จะแวะเที่ยว หรือซื้อของที่ใดบ้างอย่างไร พร้อมกับดูเมนูอาหารท้องถิ่น หรือ ข้อมูลของท้องถิ่นด้วยว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง
oจองที่พัก โดยการโทร.ไปพูดคุยกับสถานที่พัก และจองยืนยันการเข้าพักด้วย
•คนที่เกี่ยวข้อง
oคนร่วมเดินทาง ที่จะไปด้วยต้องทำตัวให้ว่าง หรือลางานได้ก็จะยิ่งดีเพราะจะได้มีเวลาไปได้มากขึ้น คนที่จะไปด้วยส่วนใหญ่ก็จะเป็น ย่า หรือยาย ภรรยา และลูก เป็นต้น
oคนที่จะอยู่เพื่อเฝ้าบ้าน โดยส่วนใหญ่ก็จะเป็นพี่สาว และหลาน
•สถานที่ไป
oพูดคุย ถามประวัติ หรือเรื่องราวของวัดนั้นๆ หรือ ท้องถิ่นมีเรื่องราวอะไรน่าสนใจ เช่น คุยกับพระสงฆ์หลังจากที่เสร็จพิธีกรรม หรือ พูดคุยกับชาวบ้านละแวกนั้นด้วย
oเมื่อเที่ยวชุมชนใกล้เคียง โบราณสถานตลาด พร้อมแวะหาของที่ระลึก (ถ้ามี)
•เก็บภาพบันทึกเรื่องราว
oถ่ายภาพเก็บไว้ พิจารณามุมสวยของสถานที่ , ชื่อป้าย, จุดเด่นของสถานที่นั้นๆด้วย
oบันทึกเรื่องราวสั้นๆ เมื่อกลับมาแล้ว ภรรยาจะเป็นผู้เขียนเรื่องราวในรอบแรก และผมจะแก้ไข หรือเพิ่มเติมในเนื้อหาอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับคัดเลือกรูปภาพประกอบลงในเว็บบล็อกของตัวเอง และอัดรูปบางส่วนลงกระดาษ เพื่อเก็บเป็นที่ระลึกอีกทีหนึ่ง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)