2558/07/25

สุขภัณฑ์อัตโนมัติ มาตรฐานสุขอนามัยเทคโนโลยีจากญี่ปุ่น หรือ I Toilet

จากกระแสการไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นที่สะดวกและง่ายขึ้น  โดยไม่ต้องขอวีซ่าทำให้คนไทยได้เห็นส้วมอัตโนมัติมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นห้องน้ำในห้างสรรพสินค้า สถานที่ท่องเที่ยว และโรงแรมต่างๆ

สุขภัณฑ์อัตโนมัติ ยี่ห้อดังในประเทศญี่ปุ่นก็คือ TOTO ซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานตั้งแต่ปี 1917
ปัจจุบันก็มีโรงงานอยู่ที่ ฟูกูโอกะ ประเทศญี่ปุ่น
(ภาพจาก website ของญี่ปุ่น)




ซึ่งในปัจจุบันนี้ TOTO ก็มีสินค้าใหม่ๆ ออกสู่ตลาดเสมอ และฝารองนั่งอัตโนมัติ
ที่เรียกกันว่า "WASH LET"  เป็นการเล่นคำ ที่มาจากภาษาอังกฤษว่า "Let's Wash"
นับว่าเป็นการตั้งชื่อที่มีเสน่ห์มาก...  และทาง TOTO ก็ได้จดสิทธิบัตร คำนี้เป็นที่เรียบร้อย โดยไม่มีผู้ผลิตยี่ห้อไหนสามารถเรียกชื่อนี้ได้

ภาพ Washlet อันแรกของ TOTO

และนี้ก็เป็นภาพปัจจุบนที่มีขายในเมืองไทยแล้ว



นอกจากฝารองนั่งอัตโนมัติที่ใช้กันทั่วไปเหล่านี้.. ปัจจุบันนี้มีชักโครกรุ่นอัตโนมัติที่มาพร้อมกับฝารองนั่งประเภทนี้ แต่เราเรียกกันว่า "NEOREST"




ในวันนี้เราคงไม่พูดถึงสรรพคุณและฟังก์ชั่นต่างๆ ที่มีอยู่ของชักโครกเหล่านี้...
แต่มันน่าจะมีชื่อเรียกชื่อเล่น ว่า "ไอ ทอยเล็ต"  "I Toilet"  ซึ่งย่อมาจาก "Intelligence Toilet"

เพราะหากคุณได้ลองใช้แล้ว คุณอาจจะเห็นด้วยกับเราก็ได้...

แต่เราอยากเชิญชวนให้ไปลองใช้กันจริงๆ แล้วเราจะรู้สึกได้ว่ามันน่าใช้หรือไม่อย่างไร
โดยไปหาดูได้ที่ บุญถาวร ทุกสาขาทั่วประเทศไทย







2558/07/09

ฟ.ฮีแลร์ กับ หนังที่น่าดู แต่คงไม่ได้ตังค์

"สองคนเดินตามช่อง
คนหนึ่งมองเห็นโคลนตม
คนหนึ่งมองเห็นดวงดาว"



หนังเรื่องนี้ เป็นสิ่งที่ทำให้เราที่เป็นศิษย์เก่าเพิ่งได้รู้จัก ท่าน ฟ.ฮีแลร์  เพราะก่อนหน้านี้เราจะรู้จักแต่ ภ.มาร์ติน  แต่ไม่เคยได้รู้จักผู้อยู่เบื้องหลังการศึกษาไทยเลยแม้แต่น้อย...


เรื่องราวของพงศธรครูในโรงเรียนประถมศึกษาแห่งหนึ่ง ซึ่งต้องการจะมีเงินเดือนที่มากขึ้น ทางเดียวที่เขาจะทำได้คือการลงเรียนต่อปริญญาโท เพื่อนำวุฒิการศึกษามาปรับขึ้นเงินเดือน พงศธรซึ่งเป็นครูสอนภาษาไทยจึงลงเรียนปริญญาโทสาขาวรรณกรรมและเลือกทำวิทยานิพนธ์เรื่อง ฟ.ฮีแลร์ เป็นงานจบของเขา

          ฟ.ฮีแลร์ คือนักบวชชาวฝรั่งเศส ผู้ที่เดินทางมายังประเทศไทยเมื่อ 100 กว่าปีก่อน เพื่อมาเป็นครูและเป็นครูฝรั่งที่นั่งเรียนภาษาไทยกับนักเรียนจนพูดภาษาไทยได้ และไม่ใช่เพียงพูดได้เท่านั้น ฟ.ฮีแลร์ยังเก่งถึงขนาดเขียนตำราให้คนไทยเรียน ยิ่งพงศธรค้นคว้าเรื่องราวของ ฟ.ฮีแลร์ ลึกลงไปเท่าไร ก็ยิ่งเหมือนเป็นการตบหน้าตัวเอง เพราะเขาค้นพบว่า ฟ.ฮีแลร์ก็เป็นครูเช่นเดียวกับเขา แต่ความเป็นครูเขาเทียบอะไรไม่ได้กับฟ.ฮีแลร์เลย ขณะที่เขาสอนเพื่อแลกเงิน แต่ฟ.ฮีแลร์กลับสอนเพื่อต้องการให้ความรู้





ตำรา "ดรุณศึกษา"  (หน้าปกอันนี้เป็นรุ่นที่ข้าพเจ้าใช้เรียน)
ที่เขาใช้สอนนักเรียนทุกวันนี้  ประพันธ์โดย ฟ.ฮีแลร์ นักบวชชาวฝรั่งเศสผู้ซึ่งอุทิศตัวเพื่อการศึกษาของไทยแม้ว่าจะไม่ใช่คนไทยก็ตาม

ตัวเอกของเรื่องได้เริ่มค้นพบปรัชญาชีวิตบางอย่างจากการค้นคว้าชีวิตของฟ.ฮีแลร์ แต่ยังคงไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด ฟ.ฮีแลร์จึงได้เลือกอยู่ในประเทศเล็ก ๆ อย่างประเทศไทยจนวันสุดท้ายของชีวิต และเมื่อพงศธรได้รู้เหตุผลนั้น มันจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาตลอดไป

          ภาพยนตร์ ฟ.ฮีแลร์ กำกับการแสดงโดย ผู้กำกับมากประสบการณ์ "แหม่ม มาม่าบลู" สุรัสวดี  เชื้อชาติ บทภาพพยนตร์โดย เอก  เอี่ยมชื่น, พงศธร โกศลโพธิทรัพย์, สุรัสวดี เชื้อชาติ  กำกับศิลป์โดย เอก เอี่ยมชื่น กำกับภาพโดย ชาญกิจ ชำนิวิกัยพงศ์ นักแสดงนำ ประกอบด้วย เจสัน ยัง รับบทเป็น ฟ. ฮีแลร์, ภรัณยู  โรจนวุฒิธรรม รับบทเป็น พงศธร  นอกจากนั้นยังได้รับเกียรติจาก นักแสดงกิตติมศักดิ์ ได้แก่ ดร.ชาติชาย  นรเศรษฐาภรณ์ รับบทเป็น อาจารย์ชาติชาย (อาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์) "ครูมืด" อาจารย์ประสาท  ทองอร่าม รับบทเป็น มหาทิม (ครูสอนภาษาไทยแก่ ฟ.ฮีแลร์) อีกด้วย




อีกมุมหนึ่งที่น่าสนใจของหนังเรื่องนี้ คือ นำเพลงที่มีแง่คิดมาประกอบหนัง และขอชื่นชม วงนั่งเล่น
ที่ทำเพลงไพเราะและมีมุมมองของเพลงที่สอนใจให้เห็นคุณค่าของคน ว่า โลกนี้ไม่มีคนอื่นเลย มีแต่พี่น้องกัน



2558/07/01

BLISS IN THE MIST


Bliss in the mist

The cool breeze,gentle sun rays, mist, flowers, grass, trees, and flowing streams -all are part of the pristine nature that everyone would make the journey to experience. Each and everyone of us is drawn towards this phenomenon called "nature" in order to bring balance to our lives.

It would be quite blissful to have the sea of mist come knocking at your window in the morning, as much as it would be soothing to feast your eyes on flower blossoming across the slope of a mountain.

This is "CHIANG RAI."



2558/06/24

GEN Y, GEN X, GEN Z, GEN ME รู้ยังว่าเราเป็นใคร???

ครอบครัวของคุณ และตัวคุณเอง อยู่ในรุ่นไหนบ้าง
ลองมองรอบตัวและติดตามดูเองนะว่าเขาและเธอมีอุปนิสัยคล้ายกับข้อมูลต่อไปนี้หรือไม่

1. Lost Generation  
ประชากรยุคแรกที่เกิดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2426-2443 หรือในช่วงทศวรรษที่ 80 ปัจจุบันคนกลุ่มนี้เสียชีวิตไปหมดแล้ว จึงถูกตั้งชื่อว่า "Lost Generation" เหตุการณ์ที่สำคัญที่เกิดขึ้นในชีวิตของคนยุคนี้ก็คือ การเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1

2. Greatest Generation
Greatest Generation หรือที่รู้จักกันว่า G.I. Generation คนกลุ่มนี้เกิดในช่วงปี พ.ศ. 2444-2467 คือยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 พวกเขาจึงกลายมาเป็นกำลังหลักของการต่อสู้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อสงครามสงบ เกิดสภาพเศรษฐกิจตกต่ำไปทั่วโลก คนรุ่นนี้จึงเป็นกำลังสำคัญในการฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจให้กลับมาดีขึ้นอีกครั้ง
ผู้คนในยุคนั้นจะมีความเป็นทางการสูง ผู้ชายจะใส่สูทผูกเนคไทเมื่อออกจากบ้าน คนในสังคมจะมีแบบแผนปฏิบัติไปในทิศทางเดียวกัน คือ มีความคิด ความเห็น ความเชื่อเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เชื่อมั่นรัฐบาล อำนาจรัฐ มีจิตสำนึกความเป็นพลเมืองร่วมกัน

3. Silent Generation
หมายถึงคนที่เกิดในช่วง พ.ศ. 2468-2488 ประชากรรุ่นนี้จะมีไม่มากเท่ารุ่นอื่น ๆ เพราะเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 พอดี และหลังจากนั้นก็เข้าสู่ยุคเศรษฐกิจตกต่ำ ดังนั้น ผู้คนจึงมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก ต้องทำงานหนักในโรงงาน หามรุ่งหามค่ำ คนรุ่นนี้จึงมีความเคร่งครัดต่อระเบียบแบบแผนมาก มีความจงรักภักดีต่อนายจ้าง และประเทศชาติสูง เคารพกฎหมาย เป็นยุคที่ผู้หญิงเริ่มออกมาทำงานนอกบ้านกันมากขึ้น กระทั่งเวลาผ่านไป เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว คนในรุ่นนี้จึงได้รับโอกาสมากขึ้น มีช่องทางการสร้างกิจการของตัวเอง รวมทั้งมีบทบาทในการพัฒนาเทคโนโลยีต่าง ๆ เป็นรากฐานจนถึงปัจจุบันนี้

4. เบบี้บูมเมอร์ (Baby Boomer)
เบบี้บูมเมอร์ (Baby Boomer) หรือ Gen-B หมายถึงคนที่เกิดระหว่างปี พ.ศ. 2489 – 2507 หรือในยุคสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 สาเหตุ ที่เรียกว่า "เบบี้บูมเมอร์" ก็เพราะว่าหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลง บ้านเมืองที่ผ่านการสู้รบได้รับความเสียหายอย่างหนัก ประชากรที่เหลืออยู่ในแต่ละประเทศจึงต้องเร่งฟื้นฟูประเทศให้กลับมาแข็ง แกร่งมั่นคงอีกครั้ง แต่ทว่า...สงครามที่ผ่านพ้นไปก็ได้คร่ากำลังพล และแรงงานไปเป็นจำนวนมาก ประเทศเหล่านี้จึงขาดแรงงานในการขับเคลื่อน ประเทศ คนในยุคนั้นจึงมีค่านิยมที่จะต้องมีลูกหลาย ๆ คน เพื่อสร้างแรงงานขึ้นมาพัฒนาประเทศชาติ จึงเป็นที่มาของคำว่า "เบบี้บูมเมอร์" นั่นเอง
ปัจจุบันนี้ คนยุคเบบี้บูมเมอร์คือคนที่มีอายุตั้งแต่ 49 ปีขึ้นไป และเริ่มเข้าสู่วัยชราแล้ว คนกลุ่มนี้จึงเป็นคนที่มีชีวิตเพื่อการทำงาน เคารพกฎเกณฑ์ กติกา มีความอดทนสูง ทุ่มเทให้กับการทำงานและองค์กรมาก สู้งาน พยายามคิดและทำอะไรด้วยตัวเอง เป็นเจ้าคนนายคน ถูกครอบครัวสั่งสอนมาให้เป็นคนประหยัด อดออม จึงมีการใช้จ่ายอย่างรอบคอบ และระมัดระวัง คน ในยุคอื่น ๆ อาจจะมองคนยุคเบบี้บูมเมอร์ว่าเป็นพวก "อนุรักษนิยม" เป็นคนที่เคร่งครัดในขนบธรรมเนียมประเพณี แต่คนกลุ่มนี้ถือว่าน่าจะมีจำนวนมากที่สุดในสังคมปัจจุบันเลยทีเดียว
เหตุการณ์สำคัญที่คนในรุ่นนี้เคยประสบ หรือเคยได้ยินก็คือ ข่าวความสำเร็จของการส่งนักบินอวกาศไปเหยียบดวงจันทร์ ข่าวการทำสงครามเวียดนาม เป็นต้น

5. เจเนอเรชั่น เอ็กซ์ (Generation X)
หลัง จากยุคเบบี้บูมเมอร์ส่งผลให้เด็กเกิดมากขึ้น ปัญหาที่ตามมาก็คือ ทรัพยากรที่มีอยู่ในโลกนี้ไม่เพียงพอที่จะจัดสรรให้ได้ทุกคน เมื่อเป็นเช่นนี้ ประชาชนจึงกลับมานั่งคิดว่า หากไม่ควบคุมอัตราการเกิดไว้ สุดท้ายแล้วคนทั้งโลกก็จะขาดแคลนอาหาร ดังนั้น จึงเกิดเป็นยุค "เจเนอเร ชั่น เอ็กซ์" (Generation X) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า "Gen-X" ที่เป็นกระแสตีกลับจากยุคเบบี้บูมเมอร์ มีการควบคุมอัตราการเกิดของประชากร อย่างเช่นในประเทศจีนก็มีการรณรงค์ให้คนมีลูกได้เพียง 1 คนเท่านั้น
คนยุคนี้จะเกิดอยู่ในช่วงปี พ.ศ. 2508-2522 อาจเรียกอีกชื่อว่า "ยับปี้" (Yuppie) ที่ย่อมาจาก Young Urban Professionals เพราะ เกิดมาพร้อมในยุคที่โลกมั่งคั่งแล้ว จึงใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย เติบโตมากับการพัฒนาของวิดีโอเกม, คอมพิวเตอร์, สไตล์เพลงแบบฮิปฮอป และอาจทันดูทีวีจอขาวดำด้วย
ปัจจุบัน คนยุค Gen-X เป็นคนวัยทำงาน มีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไปแล้ว พฤติกรรมของคนกลุ่มนี้ที่เด่นชัดมากก็คือ ชอบอะไรง่าย ๆ ไม่ต้องเป็นทางการ ให้ความสำคัญกับเรื่องความสมดุลระหว่างงานกับครอบครัว (Work–life balance) มีแนวคิดและการทำงานในลักษณะรู้ทุกอย่างทำทุกอย่างได้เพียงลำพังไม่พึ่งพาใคร เป็นตัวของตัวเองสูง มีความคิดเปิดกว้าง มีความคิดสร้างสรรค์
อย่างไรก็ตาม หลายคนใน Gen-X มีแนวโน้มที่จะต่อต้านสังคม ไม่ได้เชื่อเรื่องศาสนา และ ไม่ได้ยึดขนบธรรมเนียมประเพณีมากนัก เป็นคนที่มีความยืดหยุ่นในการปรับตัวกับวัฒนธรรมที่เปลี่ยนไป อย่างเช่นมองว่าการอยู่ก่อนแต่ง หรือการหย่าร้างก็เป็นเรื่องปกติ เช่นเดียวกับเรื่องเพศที่ 3 ซึ่งต่างจากกลุ่มเบบี้บูมเมอร์ที่มองเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องผิดจารีตประเพณี เป็นอย่างยิ่ง

6. เจเนอเรชั่น วาย (Generation Y)
ถัดจากยุค Gen-X ก็คือ ยุคเจเนอเรชั่นวาย (Generation Y) หรือ ยุค Millennials ซึ่งก็คือคนที่เกิดอยู่ในช่วงปี พ.ศ. 2523–2540 คนกลุ่มนี้เติบโตขึ้นมาท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง และค่านิยมที่แตกต่างระหว่างรุ่นปู่ย่าตายาย กับ รุ่นพ่อแม่ แต่ก็รับเอาความเจริญรุดหน้าของเทคโนโลยี และอินเทอร์เน็ตเข้ามาแทรกอยู่ในการดำรงชีวิตประจำวันด้วย
ยุคนี้จะเป็นยุคที่เศรษฐกิจกำลังเติบโตเป็นอย่างมาก ทำให้พ่อแม่ที่ค่อนข้างจะประสบความสำเร็จในชีวิตแล้วจะดูแลเอาใจใส่ลูก ๆ เป็นอย่างดี เด็กยุคนี้จึงมักจะถูกตามใจตั้งแต่เด็ก ได้ในสิ่งที่คนรุ่นพ่อแม่ไม่ค่อยได้ มีการศึกษาดี มีลักษณะนิสัยชอบการแสดงออก มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ไม่ชอบถูกบังคับให้อยู่กรอบ ไม่ชอบอยู่ในเงื่อนไข ชอบเสพข่าวสารผ่านช่องทางต่าง ๆ ที่หลากหลาย มีอิสระในความคิด กล้าซัก กล้าถามในทุกเรื่องที่ตัวเองสนใจ ไม่หวั่นกับคำวิจารณ์ มีความเป็นสากลมาก มองว่าการนิยมชมชอบวัฒนธรรม หรือศิลปินต่างชาติเป็นเรื่องธรรมดา
ปัจจุบัน คนกลุ่มนี้อยู่ในทั้งช่วงวัยเรียน และวัยทำงาน และจากการที่ยุคนี้เป็นยุคที่มีเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงไม่น่าแปลกใจที่คนกลุ่มนี้จะมีความสามารถในการทำงานที่เกี่ยวกับการ ติดต่อสื่อสาร ชอบงานด้านไอที ใช้ความคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ รวมทั้งสามารถทำอะไรหลาย ๆ อย่างได้ในเวลาเดียวกัน เรียกได้ว่าสามารถใช้เครื่องมือเครื่องไม้ได้อย่างคล่องแคล่ว อย่างที่เราอาจจะเคยเห็นภาพคนยุคใหม่ที่นั่งเล่น iPad ไปด้วย คุยโทรศัพท์ไปด้วย แถมบางคนยังกินข้าวไปพร้อม ๆ กันด้วยอีกต่างหาก
ในเรื่องการทำงาน คนกลุ่มนี้ต้องการความชัดเจนในการทำงานว่าสิ่งที่ทำมีผลต่อตนเองและต่อหน่วย งานอย่างไร และชอบทำงานเป็นทีม ต่างจากกลุ่ม Gen-X ที่ชอบวันแมนโชว์มากกว่า เพราะคนในวัย Gen-X จะถูกฝึกมาแบบนั้น ต่างจากวัย Gen-Y ที่เติบโตมาพร้อมกับการประชุม การระดมความคิดเห็น แต่ทว่าคนกลุ่มนี้จะไม่ค่อยอดทนเหมือนรุ่นพ่อรุ่นแม่นัก หวังที่จะทำงานได้เงินเดือนสูง ๆ แต่ไม่อยากไต่เต้าจากการทำงานข้างล่างขึ้นไป คาดหวังในการทำงานสูง ต้องการคำชม กลุ่ม Gen-Y มักจะจัดสรรเวลาให้งานและชีวิตส่วนตัวในจุดที่สมดุลกัน พอหลังเลิกงานอาจไปทำกิจกรรมอื่น ๆ เพื่อสร้างความสุขให้กับตัวเอง เช่น ไปเล่นฟิตเนส ไปพบปะสังสรรค์กับเพื่อนฝูง จะไม่ค่อยหมกมุ่นอยู่กับงานเหมือนกับคนรุ่นก่อน
นอกจากนี้ กลุ่ม Gen-Y จะเป็นคนมองโลกในแง่ดี มีใจช่วยเหลือสังคม รักษาสิ่งแวดล้อม มีความสัมพันธ์ที่ดีและแน่นแฟ้นกับพ่อแม่

7. เจเนอเรชั่น ซี (Generation Z)
Gen-Z คือ คำนิยามล่าสุดของคนรุ่นใหม่ในยุคปัจจุบัน หมายถึงคนที่เกิดหลัง พ.ศ. 2540 ขึ้นไป เทียบ อายุแล้วก็คือวัยของเด็ก ๆ นั่นเอง เด็ก ๆ กลุ่ม Gen-Z นี้ จะเติบโตมาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายที่อยู่แวดล้อม มีความสามารถในการใช้งานเทคโนโลยีต่าง ๆ และเรียนรู้ได้เร็ว เพราะพ่อแม่ใช้สิ่งเหล่านี้อยู่ในชีวิตประจำวัน แต่สิ่งหนึ่งที่เด็กรุ่น Gen-Z แตกต่างจากรุ่นอื่น ๆ สมัยที่ยังเป็นเด็กอยู่ก็คือ เด็กรุ่นนี้จะ ได้เห็นภาพที่พ่อและแม่ต้องออกไปทำงานทั้งคู่ ต่างจากรุ่นก่อน ๆ ที่อาจจะมีพ่อออกไปทำงานคนเดียว ด้วยเหตุผลนี้ เด็ก Gen-Z หลาย ๆ คนจึงได้รับการเลี้ยงดูจากคนอื่นมากกว่าพ่อแม่ของตัวเอง

 เมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมามีข่าวที่ฮือฮามากในนิตยสาร “TIME” ที่ทำสกู๊ปหน้าปกเรื่อง “ME ME ME Generation” พร้อมภาพเด็กหญิงวัยสาวกำลังนอนราบกับพื้นและยกกล้องจากโทรศัพท์มือถือขึ้นโน้มลงมาถ่ายรูปหน้าตัวเอง
     
       เนื้อหาเกี่ยวข้องกับคนรุ่นใหม่ ที่อ้างข้อมูลของโจเอล สไตน์ จาก “The National Institutes of Health” (สถาบันสุขภาพแห่งชาติอเมริกา) พบว่า คนรุ่นใหม่กว่า 80 ล้านคนในอเมริกาที่เกิดระหว่างปี ค.ศ. 1980-2000 นั้นหลงตัวเองเป็นสามเท่าของคนรุ่นพ่อแม่ และกว่า 80% ของคนรุ่นนี้ที่มีอายุต่ำกว่า 23 ปี ต้องการได้งานที่มีความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่
     
       คนรุ่นใหม่นั้นได้รับการปลูกฝังเลี้ยงดูภายใต้วัฒนธรรม “แค่เข้าร่วมก็ได้ประกาศนียบัตร” โดยไม่สนใจถึงประสิทธิผลหรือวิธีการหรือความสำคัญของการเข้าร่วม ซึ่งทำให้พวกเขามักคิดว่า หากทำงาน พวกเขาควรได้รับการโปรโมตเลื่อนขั้นทุกๆ สองปีโดยไม่จำเป็นต้องพิจารณาที่ผลงานหรือประสิทธิภาพ
       และจากข้อมูลดังกล่าว เขาเรียกคนกลุ่มนี้ว่า Generation ME หรือกลุ่มที่มองตัวเองสำคัญที่สุด มองว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งอย่าง หรืออีกคำที่เขาเรียกว่าเป็นกลุ่มหลงตัวเอง
แม้จะมีความพยายามในการวิเคราะห์สาเหตุว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น แต่ส่วนหนึ่งซึ่งเป็นส่วนใหญ่และส่วนสำคัญที่สุดก็คือ การเลี้ยงดูของพ่อแม่มีส่วนอย่างมาก
     
แล้วเด็กแบบไหนกันที่มีแนวโน้มถูกเลี้ยงดูให้กลายเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่ถูกเรียกว่า Generation ME !!

              ประการแรก ลูกเป็นศูนย์กลางของบ้าน
              ถ้าเปรียบเทียบกับการเลี้ยงดูของชาวจีนก็ประมาณว่าจักรพรรดิน้อย ที่พ่อแม่คอยพะเน้าพะนอ อยากได้อะไรก็ได้ ไม่ว่าจะกิน จะนอน จะเล่น จะเที่ยว จะให้ลูกเป็นผู้กำหนดตั้งแต่เล็ก ยกให้ลูกเป็นผู้ตัดสินใจ เพราะรักลูกอยากตามใจลูก โดยหารู้ไม่ว่าสิ่งเหล่านี้กำลังหล่อหลอมให้ลูกของเรากลายเป็นเด็กที่เอาแต่ใจตัวเอง และมองตัวเองสำคัญที่สุด ไม่สนใจความรู้สึกของผู้อื่น

              ประการที่สอง ลูกไม่เคยผิดหวัง
              สืบเนื่องมาจากการเป็นศูนย์กลางของบ้าน เพราะฉะนั้นเมื่อผู้ใหญ่ในบ้านไม่เคยขัด และตามใจมาโดยตลอด จึงมักตอบสนองในทุกเรื่อง แม้บางเรื่องเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม เช่น การที่ลูกอยากได้ของเล่นของคนอื่น พ่อแม่ก็จะต้องพยายามหาทางให้ลูกได้ของเล่นชิ้นนั้น ไปขอยืมมา หรือไม่ก็ต้องดิ้นรนหาซื้อของเล่นชิ้นใหม่จนได้ เป็นต้น

              ประการที่สาม ลูกไม่เคยแพ้
              ในที่นี้เป็นเรื่องการแข่งขันที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เล็ก เป็นเด็กที่ต้องชนะ ไม่ว่าจเะเป็นการเล่นเกม หรือการเรียนก็ตาม ยกตัวอย่าง พ่อแม่ที่เล่นกับลูก ถ้าเป็นเกมที่ต้องมีผู้แพ้ชนะ พ่อแม่มักยอมให้ลูกเป็นฝ่ายชนะตลอด เวลาลูกแพ้ ลูกมักร้องไห้หรืออารมณ์เสีย แทนที่พ่อแม่จะสอนให้ลูกรู้จักการแพ้ชนะอย่างเป็นธรรมชาติและถูกต้องตามกฎกติกา และให้เขาได้รู้จักการจัดการกับอารมณ์นั้น แต่พ่อแม่มักอ้างว่ารักลูก กลัวว่าลูกเสียใจก็เลยยอมแพ้ลูกตลอด จนเมื่อลูกต้องไปมีสังคมของเขาเอง เมื่อเขาแพ้ก็จะรู้สึกทนไม่ได้ ไม่ชอบหน้าอีกฝ่าย หรือบางทีก็กลายเป็นโกรธผู้นั้นไปเลย

            ประการที่สี่ ลูกไม่เคยลำบาก
             ข้อนี้มักเกิดกับกลุ่มพ่อแม่ชนชั้นกลางขึ้นไป ที่ไม่อยากให้ลูกลำบาก ยิ่งถ้าเป็นพ่อแม่ที่เคยผ่านความลำบากมาแล้ว ก็เลยมีความคิดว่าไม่อยากให้ลูกลำบากอีกต่อไป ซึ่งเป็นความคิดและความเข้าใจที่ผิด เพราะความลำบากจะทำให้ลูกมีภูมิต้านทานชีวิตที่ดี

          ประการที่ห้า ลูกไม่เคยแก้ปัญหา
            พ่อแม่จัดการแก้ปัญหาให้ลูกหมด เพราะคิดว่าลูกยังเด็ก ลูกคงแก้ปัญหาเองไม่ได้หรอก ทั้งที่บางเรื่องเป็นเรื่องเล็กๆ และเป็นเรื่องของเด็ก แต่พ่อแม่ก็ไม่ปล่อยวางให้ลูกได้ฝึกเจอสถานการณ์ด้วยตัวเอง แต่พ่อแม่เข้าไปแก้ปัญหาและจัดการให้หมด กลายเป็นจุ้นจ้านต่อชีวิตของลูกไปซะอีก เวลาลูกเจอปัญหาอะไรต้องให้เขาฝึกเผชิญด้วยตัวเอง มิเช่นนั้นแล้ว เขาก็จะมองเห็นแต่ตัวเอง เมื่อเกิดอะไรขึ้นมา เขาจะมองไม่เห็นปัญหาของคนอื่น หรือโทษว่าเพราะคนอื่นทำให้ฉันเกิดปัญหา

        ประการที่หก ลูกได้รับคำชื่นชมและชมเชยแบบพร่ำเพรื่อ
              การชื่นชมหรือชมเชยหรือให้กำลังใจลูกเป็นเรื่องจำเป็น แต่ต้องมีความพอดีและเหมาะสมกำกับอยู่ด้วย เพราะถ้าชื่นชมมากเกินไป พร่ำเพรื่อเกินไปก็กลายเป็นสร้างปัญหาด้วยซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชื่นชมเพียงแค่เปลือก ชมที่ภายนอก เช่น ชมว่าลูกแต่งตัวสวย หล่อ หรือหน้าตาดี แต่ไม่ได้ชมที่พฤติกรรมของการทำดี ก็จะทำให้ลูกหลงและถือดีว่าตัวเองหน้าตาดี และนำไปสู่อาการหลงตัวเองได้

              ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วมีส่วนทำให้ลูกของคุณเข้าข่ายเป็นเด็กรุ่นใหม่ที่คิดถึงตัวเอง หรือภาษาของคนชาวอเมริกันที่เขาบอกว่าเข้าข่ายหลงตัวเอง จนถึงกับบัญญัติศัพท์ใหม่ว่า “Generation ME” ที่ต้องการสะท้อนให้เห็นว่าคนรุ่นใหม่มักมองแต่ตัวเอง

2558/05/19

San Andreas มหาวิบัติแผ่นดินแยก.. กลางปี 2015

หนังใหม่ ชวนตื่นเต้นเกี่ยวกับแผ่นดินไหว แผ่นดินแยก

เป็นอีกมุมหนึ่งของมหาภัยภิบัติที่ Holywood สร้างขึ้น เนื้อจินตนาการและความเป็นจริงมาก
ซึ่งดูเอาสนุกและดูเทคนิคการถ่ายทำในมุมมองของการทำหนังมากกว่าประเด็นอื่นๆ
เรื่องย่อมีประมาณนี้

หลังจากเกิดเหตุการณ์ San Andreas (ซาน แอนเดรส) ที่มีชื่อเสียงจนทำให้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ระดับ 9 ที่แคลิฟอร์เนีย นักบินเฮลิคอปเตอร์ผู้ค้นหาและช่วยชีวิต (จอห์นสัน) กับภรรยาที่ไม่ค่อยลงรอยกันต้องออกเดินทางจากลอสแองเจลิสไปจนถึงซานฟรานซิสโกด้วยกันเพื่อช่วยลูกสาวคนเดียวของพวกเขา แต่การเดินทางสู่ทางตอนเหนืออันโหดร้ายของพวกเขาเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น พวกเขาคิดว่าเรื่องร้ายๆ ผ่านพ้นไปแล้ว …แต่มันเพิ่งเริ่มต้น...  ซึ่งชวนให้พวกคุณได้ติดตาม


2558/05/11

เด็กเศรษฐศาสตร์ ชวนดูละครประวัติศาสตร์



ในฐานะเด็กเศรษฐศาสตร์ และเป็นรุ่นพี่ของดารานำ "นาวิน ตาร์"  จึงขอเป็นส่วนหนึ่งที่จะเข้าไปดูและสนับสนุนละครดีๆเช่นนี้ ซึ่งนานๆ จะมีออกมาสักครั้งหนึ่ง
โดยในแง่ของเศรษฐกิจแล้ว.. ก็ต้องบอกตรงๆ ว่าไม่มั่นใจว่าจะสามารถดึงเงินออกจากกระเป๋าคนดูได้คุ้มกับที่ลงทุนไปหรือไม่??
แต่ก็ต้องขอปรบมือมา ณ ที่นี้.. ที่ทีมงานได้ทำละครเรื่องนี้มานำเสนอ

ละครเรื่อง “มังกรสลัดเกล็ด เดอะมิวสิคัล” นำแสดงโดย “นาวิน ตาร์” หรือ นาวิน เยาวพลกุล ที่จะมารับบท ดร.ป๋วย ในองก์ทดแทนแผ่นดิน สุประวัติ ปัทมสูต รับบท ดร.ป๋วย
ในองก์ฝ่ามรสุม และ “อาร์ม” กรกัณฑ์ สุทธิโกเศศ รับบท ดร.ป๋วย ในองก์เสรีไทยลายมังกร
ส่วนนาวิน ตาร์ นั้น ช่วงนี้สอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์อย่างเดียว ปลีกเวลาซ้อมบทอาจารย์ป๋วยภาคทดแทนแผ่นดินได้อย่างเต็มที่

ดร.นริศ ชัยสูตร รองปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะที่ปรึกษาของสมาคมเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ผู้จัดแสดงละครเรื่องนี้ ได้เปิดแถลงข่าวครั้งแรกไปเมื่อกลางเดือนที่แล้วที่พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย มีผู้สื่อข่าวบันเทิงจากสื่อทุกแขนงไปร่วมฟังการแถลงกว่าร้อยราย
ในวันแถลงข่าวมีการแสดงสดๆเป็นตัวอย่างให้สื่อมวลชนดูชมด้วยหนึ่งฉาก เป็นฉากในอังกฤษตอนที่ ดร.ป๋วยกำลังจะลาจากภรรยา (มาลีน) เพื่อลงเรือไปต่างประเทศเพื่อปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเสรีไทย
ประเด็นสำคัญก็คือ ดร.ป๋วยกับภรรยามีความเห็นต่างกันมากเกี่ยวกับเรื่องของสงคราม เนื่องเพราะภรรยาของท่านต่อต้านการใช้ความรุนแรงในทุกรูปแบบและทุกกรณี โดยปฏิเสธการ ใช้อาวุธและการประหัดประหารใดๆทั้งสิ้น
เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้น ภรรยาท่าน ออกมาต่อต้านโดยไม่ยอมถูกเกณฑ์ไปช่วยรัฐบาลอังกฤษ แม้จะเป็นการไปช่วยแนวหลังมิได้ออก สู้รบแต่ประการใดก็ตาม
แต่คุณป๋วยสามีท่านกลับจะไปจับอาวุธเป็นเสรีไทย ทั้ง 2 สามีภรรยาจึงต้องถกเถียงกันในเรื่องอุดมคติอย่างเคร่งเครียดและเข้มข้น แม้จะด้วยความรักที่มีต่อกันก็ตาม

นี่คือบทที่ “นาวิน ตาร์” (ดร.ป๋วย) และ น้องจ๊ะจ๋า พริมรตา เดชอุดม (มาลีน) แสดงได้อย่างประทับใจนักข่าว เรียกเสียงปรบมือกราวและยาวนาน เมื่อวันที่ 17 มีนาคมที่ผ่านมา

ฉาก 3.2 ท่าเรือ ประเทศอังกฤษ ปี 2485
ป๋วย-มาลีน ผมจำเป็นต้องไป
มาลีน-สงครามมันมีความหมายกับลูกผู้ชายอย่างเธอนักใช่มั้ย ป๋วย
ป๋วย- ผมเกิดหนเดียว ตายหนเดียว ผมขอตายอย่างมีความหมาย
มาลีน-ความมุ่งมั่นของเธอกับของฉันช่าง ต่างกันนัก
ป๋วย-เธอคงไม่เข้าใจคนพลัดถิ่นอย่างฉัน หรอก การอาสาเข้าเป็นทหารจะช่วยให้รัฐฯที่นี่ยอมรับตัวตนของเรา
มาลีน-แล้วยังงัย? คิดว่ารัฐบาลอังกฤษจะยอมรับขบวนการกู้ชาติของเธออย่างนั้นหรือ ในสงครามไม่มีมิตรแท้หรอก น่าขำแต่ขำไม่ออก
ฉันสู้ยอมขึ้นศาลเพื่อหลุดพ้นจากการร่วมสงครามบ้าๆนี้ในฐานะพลเมืองอังกฤษ แต่เธอกลับอาสาเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของมัน
ป๋วย- ไม่มีใครอยากให้มีสงคราม แต่เมื่อมันเกิดขึ้นเราก็ต้องหาทางอยู่ร่วมกับมัน ยามนี้ประเทศ ชาติของผมต้องการความร่วมมือ และก็เป็นหน้าที่ของผมที่ต้องผดุงเอกราชของชาติไว้
มาลีน-ชาติสำคัญที่สุดสำหรับเธองั้นหรือป๋วย- ใช่ และน่าจะสำหรับคนไทยทุกคน

มาลีน-แล้วฉันล่ะ
ป๋วย- ผมรักคุณเสมอไม่ว่าจะมีสงครามหรือไม่มีสงคราม มาลีน ให้ผมไปเถิดนะ ผมจะกลับมาทันทีที่สงครามสงบ
มาลีน-ไม่รู้ว่าเราจะได้เจอกันอีกไหม ได้แต่หวังว่าเธอจะโชคดี ลาก่อน (เพื่อนๆมารับป๋วยลง เรือจากไป)
(เพลง) จันทร์โลมทางแปลง มาลีนร้องซ้อนกับลูกคู่ชายร้องเพลง “ชายชาญ”
มาลีน-บางสิ่ง เหมือนจะใกล้ แต่ไกลลิบ บางคราว ราวจะหยิบ ใส่มือคว้า บางครั้ง เหมือนฟ้าสั่ง กลับร้างรา เพียงเพราะว่า เธอเห็น เป็นคนไกล

ละครเรื่อง “มังกรสลัดเกล็ด” กำกับการแสดง และสร้างบทโดย ประดิษฐ์ ประสาททอง เจ้าของรางวัลศิลปาธร สาขาศิลปะการแสดง 2547
กำหนดลงโรงที่หอประชุมใหญ่  ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ศุกร์ที่ 29 พ.ค., เสาร์ 30 พ.ค., อาทิตย์ 31 พ.ค. รวม 5 รอบ .
จองบัตรได้ที่ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ทุกสาขา ตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน เป็นต้นไป.


2558/03/27

Fast Furious 7 ซิ่งอมตะ กับรถในตำนานหน้าใหม่ LYKAN

Fast 7

นั่งรถซิ่ง อมตะ


ที่น่าสนใจ
เนื้อหาเรื่องมีความน่าสนุกและตื่นเต้นตามสไตล์ Furious 7
รถที่ใช้ในเรื่องนี้ เห็นที่จะโดดเด่น คือ  Lykan



ราคาแค่ 3.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ...   (อุ๊ตีะ... ไม่ยากคูณเป็นเงินไทยเลยคร้าบ)

Lykan Hypersport - รถยนต์สปอร์ตระดับหรูและเยี่ยมยอด

ปกติคนมักจะนับแค่ Lamborghini, Ferrari และ Bugatti
อยู่ในรายชื่อปกติทั่วไปของรถยนต์สุดสวยบนดาวเคราะห์ดวงนี้
แต่ตอนนี้จะต้องขยายรายชื่อรถยนต์
เพิ่มอีกหนึ่งรายที่มีฐานการผลิตจากคาบสมุทรอารเบีย
เมืองเบรุต ประเทศเลบานอน
ค่ายผู้ผลิตรถยนต์ W Motors
รถยนต์ชื่อ Lykan Hypersport   เข้าร่วมรายการเปิดตัวครั้งแรกที่กาตาร์  ในงานแสดงมอเตอร์โชว์ 2013 Qatar Motor Show
Lykan Hypersport กำลังจะเป็น  หนึ่งในรถยนตร์สปอร์ตหรูระดับยอดเยี่ยมอีกคันของทศวรรษนี้


ราคานี้อาจจะทำให้ผู้ชมอ้าปากค้างได้ เท่านั้นยังไม่พอถ้าการมีเพชรประดับหลอดไฟหน้า LED
ถ้าทำให้ลูกค้าไม่ชอบใจการมีแบบนี้ เพราะการมีเพชรประดับไม่ใช่อัตลักษณ์ของคนซื้อ
Lykan Hypersport ยังพร้อมจะช่วยให้ลูกค้า กำหนดประเภทอัญมณีที่ต้องการประดับได้
เช่น พลอย ไพลิน ทับทิม  มรกต หรือ ฯลฯ ดังนั้นให้เตรียมกระเป๋าใส่เงินให้เพียงพอ
ก่อนที่กระเป๋าจะแหก (ไม่มีเงินเพียงพอ)

ถ้าว่าถึงเกี่ยวกับการออกแบบรูปทรงของ
Lykan Hypersport ใกล้เคียงกับ  Audi R8 กับ Lamborghini Aventador  มาก
แต่มีการเพิ่มประสิทธิภาพทางพลศาสตร์ ตัวถังทำด้วย carbon fiber
การตกแต่งภายในอย่างหรูหรา รวมทั้งสเป็คเครื่องยนต์ Porsche 911 จากพันธมิตรธุรกิจอิตาลีกับเยอรมันนี หุ้นส่วนทางด้านเทคนิคกับการออกแบบ Magna Steyr Torino กับ เยอรมันนี RUF
ผู้เชี่ยวชาญปรับแต่งเครื่องยนต์ Porsche  (a flat-six engine tuned by RUF  and presumably borrowed from a Porsche 911 As most readers will recognize, RUF is a specialist Porsche tuner.)


กับเครื่องยนต์ขนาด 750 แรงม้า ที่มีความสามารถในการเร่งความเร็ว จาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 2.8 วินาที
รถวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดถึง 395 กิโลเมตรต่อชั่วโมง  และยังมีจอภาพเสมือนจริงแบบสามมิติแสดงบนแผงหน้าปัดของรถยนต์

Ralph R. Debbas ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ W Motors
จบการศึกษาจาก  Coventry University School of Art and Design  อังกฤษ

"เราอยากจะผลิตรถยนต์ที่แพงที่สุด
รถยนต์ที่หรูหราที่สุดที่เคยสร้างกันมา "