2552/03/30

ขอพร 3 ข้อ จากพระกุมารเยซู








วัดคาทอลิก วัดพระกุมารเยซู บางนา กม.8

หนูมาแสวงบุญที่วัดพระกุมารเยซู มีมิสซาเวลา 8.30 น. และเดินรูปหลังพิธีมิสซา เป็นสัปดาห์ก่อนอาทิตย์ใบลาน
ส่วนช่วงสาย เวลา 10.30 น. ก็มีมิสซาอีกครั้งหนึ่ง และก่อนพิธีมีการซ้อมร้องเพลงกับสัตบุรุษด้วยจ้า
หนูกับม๊าม๊า และป๊าป๊า ขอพร 3 ข้อ ตามที่ป้าออมบุญ เคยสอนไว้ด้วยค่ะ
วัดนี้ลมพัดเย็นสบายดีมากๆ เลย ทั้งๆ ที่มาเอาปลายเดือนมีนาคม แต่อากาศภายในวัดเย็นสบายดีมากค่ะ
ถึงแม้ว่าทางเข้าซอยของวัด รถจะเยอะมากๆ เพราะด้านในซอยนั้นมี มหาวิทยาลัยรามคำแหง 2 อยู่ด้านใน.. (และวัดบางแก้ว)
หอระฆังและหลังคาวัด สามารถมองเห็นได้จากถนนใหญ่ ถ.บางนา-ตราด กม.8 เลยนะค่ะ
ชมแผนที่ วัดพระกุมารเยซูได้ที่นี่ค่ะ
http://maps.google.co.th/maps/ms?ie=UTF8&t=h&hl=th&msa=0&msid=102815591993632318413.0004505779d3cefc05def&ll=13.654604,100.676726&spn=0.002659,0.004807&z=18









2552/03/27

วัดคาทอลิก วัดพระคริสตกษัตริย์






การเดินทางสะดวกรวดเร็ว จากกทม. เพียง 1 ชั่วโมงนิดๆ และตั้งอยู่ใกล้พระราชวังสนามจันทร์ กับพระปฐมเจดีย์ สถานที่ท่องเที่ยวอันเลื่องชื่อแห่ง จ.นครปฐม
เข้าชมแผนที่ได้ที่นี้





2552/03/22

ตัวกู และกางเขน ไม่ยึดติด



ภาพลักษณ์ของท่านพุทธทาส เป็นภาพลักษณ์หนึ่งที่ผมเคารพนับถือท่าน และทำให้ผมเปิดกว้างในมุมมองของศาสนามากขึ้น ผมเพิ่งได้ยิน หรือรู้จักท่านขณะที่ผมเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย ขณะนั้นได้ทำกิจกรรมนักศึกษาและเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อสังคมต่างๆ ทำให้ได้รู้จักท่านพุทธทาส คำสอนแรกที่ผมได้รับฟังและประทับใจมากๆ ก็คือ

คำว่า ตัวกู ของกู จะทำให้เรายึดติดและเห็นแก่ตัว ซึ่งถ้ามองเป็นภาษาอังกฤษ ตัวกู ก็คือ “I” หากเราต้องการทำลายตัวกูของกู ก็ให้เอาไม้มาทิ่มแทงทะลุไปซึ่งตัวไอ นี้ก็จะกลายเป็นรูปไม้กางเขน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของทางคริสต์ศาสนา ดังนั้นการเป็นคนดีก็จะต้องทำลายตัวกู ของกู และไม่ยึดติด ไม่เห็นแก่ตัว พร้อมที่จะแบ่งปัน เสียสละให้ผู้อื่น ก็จะทำให้สังคมนั้นเป็นสุข เป็นคนดีด้วยกันทั้งนั้น

หลังจากนั้นก็ได้มีโอกาสลงไปที่สวนโมกข์ กับเพื่อนในช่วงเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นเดือนของท่านพุทธทาส ก่อนที่จะถึงวันระลึกท่านพุทธทาส วันที่ 27 พฤษภาคม พวกผมได้มีโอกาสไปนอนค้างคืนที่สวนโมกข์ และทานข้าวที่โรงทานแถวนั้นด้วย แม้จะเป็นเพียงเวลาแค่หนึ่งคืน แต่ก็สร้างความประทับใจให้กับผมเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งคำสอนต่างๆ ที่ท่านให้ไว้และช่วงที่ท่านมีชีวิตอยู่ ท่านสอนไว้ว่า เมื่อถึงวันคล้ายวันเกิดของท่านแล้ว สาธุชนไม่ต้องนำของ หรือของขวัญมาถวายให้กับท่าน ท่านพุทธทาส ขอเพียงแต่ว่าให้คนผู้นั้นอดอาหาร และระลึกถึงท่าน ท่านบอกว่าเมื่อเราอดอาหารแล้วเราก็จะได้เข้าใจคนที่ไม่มีจะกินว่าเขาลำบากอย่างไร รู้สึกอย่างไร เพื่อให้เราจะได้รู้จักแบ่งปันคนอื่น และไม่กินอาหารเหลือทิ้งอันจะทำให้เสียของไปอีกด้วยซ้ำ

ผมมาพิจารณาในคำสอนของท่านในเรื่องการอดอาหารเพื่อระลึกถึงท่านพุทธทาส นี้เป็นการให้คำสอนที่ล้ำลึกมากๆ เลยครับ เป็นคำสอนที่เน้นการลดภาวะโลกร้อนได้ดีเยี่ยมมากๆ เพราะว่าคนไม่ต้องซื้อของมาให้ท่าน และลดการบริโภคลงอีกด้วยซ้ำเป็นการสอนให้คนรู้จักตัวเอง รู้จักอารมณ์ของตนเองเมื่อหิว จะได้รู้จักคุณค่าของอาหารหรือสิ่งที่คนเรากินเข้าไปด้วย

และนี้ก็เป็นความเชื่อ ความศรัทธา และเหตุการณ์ต่างๆ ที่หล่อหลอม และทำให้ผมไม่ยึดติดกับรูปแบบพิธีกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่เชื่อมั่นและศรัทธาในความดี ความเป็นธรรมชาติของศาสนาพุทธ และศาสนาคริสต์ที่ผมนับถือมาตั้งแต่แรกเกิด

2552/03/19

ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน

ผู้ที่เป็นบันดาลใจต่อการพัฒนานิสัยของผม ก็คือ คุณพ่อของผมเอง ท่านเพิ่งจากโลกนี้ไปเมื่อประมาณ 3 ปีกว่าที่ผ่านมา ท่านจากไปด้วยโรคมะเร็งในเม็ดเลือดขาว ช่วงที่ท่านเจ็บป่วยอยู่นั้น ท่านก็ไม่ได้บ่น หรือเรียกร้องให้ลูกๆ ต้องรักษาอย่างดี หรือต้องอยู่กับท่านทุกวัน ตรงกันข้ามท่านกลับบอกว่าหากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วทำอะไรด้วยตัวเองไม่ได้ ก็ขอไม่อยู่ดีกว่า..ลำบากตัวเองและลำบากลูกหลานถึงแม้วัยของท่านจะล่วงเลยมาถึง 75 ปี แต่ท่านก็ยังแข็งแรงเรื่อยมาจนกระทั่งพบว่าเป็นมะเร็งในเม็ดเลือดขาว เพียงแค่ระยะเวลากว่าครึ่งปีที่เจ้าเนื้อร้ายนี้อยู่ในตัวท่าน และแผ่ขยายไปด้วยความรวดเร็ว สุดท้ายท่านก็จากไปด้วยความสงบในพระพรของพระเป็นเจ้า ครอบครัวเรานับถือ และสวดมนต์กันเป็นประจำเวลาช่วงค่ำก่อนนอน แม้จะมีครบจำนวนคนบ้างไม่ครบบ้าง แต่คุณแม่ก็จะนำสวดสม่ำเสมอไม่มีขาด

คุณพ่อของผมเป็นพ่อค้า ร้านขายของชำ ค้าขายมาตั้งแต่หนุ่มๆ จนถึงอายุ 30 ปี ท่านก็ได้ซื้อห้องแถวไว้สองห้อง เพื่อเปิดเป็นร้านขายของโดยตั้งชื่อร้านว่า แสงชัยพานิช เป็นการสะสมเงินและเตรียมการมาตั้งแต่วัยหนุ่ม เพื่อให้มีร้านขายของเป็นของตนเอง เพราะที่ผ่านมาจะต้องเช่าแผงของคนอื่น ซึ่งท่านก็มีความคิดว่าสักวันจะต้องมีร้านเป็นของตัวเองให้ได้ แล้วก็ทำสำเร็จจนได้

ขณะที่ร้านค้าใหม่นี้เพิ่งเปิด ตัวผมเองเพิ่งมีอายุได้แค่ หนึ่งขวบปีกว่าๆ ก็ยังจำความอะไรไม่ได้ จนกระทั่งเมื่อได้เข้าเรียนหนังสือและเริ่มจำความได้ และมีหลายเหตุการณ์ที่คุณพ่อได้สอนไว้ เช่น เวลาผมจะกินขนมในร้าน ผมก็จะต้องขอคุณพ่อ หรือพี่สาวคนโตก่อนทุกครั้ง เพราะคุณพ่อบอกว่า ก่อนที่เราจะหยิบของคนอื่น หรือของในร้าน ต้องขออนุญาตเจ้าของก่อนเสมอ

คุณพ่อ มักจะเก็บกระดาษกล่อง หรือลังกระดาษต่างๆ เวลาที่เราแกะกล่อง และนำสินค้าต่างๆ ไปขายได้แล้ว ก็จะเหลือเศษกระดาษ หรือพวกขวดพลาสติก ขวดแก้ว ท่านก็จะเก็บไว้ และมัดไว้เป็นกองๆ สำหรับกระดาษ และใส่กระสอบไว้สำหรับพวกขวดพลาสติก หรือขวดแก้ว เพื่อจะได้นำไปขายให้กับร้านขายของเก่า เป็นการลดปริมาณขยะ และทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นด้วย

ผมจำได้ว่ามีตู้เย็นใบใหญ่ๆ อยู่ใบหนึ่งเอาไว้แช่น้ำอัดลมให้ลูกค้าได้กินน้ำเย็นๆ ชื่นใจ บนตู้เย็นนั้นจะเขียนข้อความว่า “ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน” เป็นตู้เย็นที่ซื้อมาหลังจากที่เปิดกิจการใหม่ และใช้ได้เป็นสิบปีเลยทีเดียว ตอนเด็กๆ ผมเคยคุยกับคุณพ่อถึงข้อความข้างบนว่า ผมเคยถามว่า “ซื่อ เป็นอาหารหรือขนมและมันกินได้ด้วยหรือครับ?“ แต่คุณพ่อก็อธิบายว่า “ซื่อ คือ ความซื่อสัตย์กับลูกค้า เวลาพวกเราเป็นพ่อค้าถ้าค้าขายต้องมีความซื่อสัตย์ อย่างเช่นกรณีตักน้ำตาลทรายขายให้กับลูกค้าก็ต้องตักให้ครบปริมาณที่ลูกค้าต้องการ และถ้าคิดเงินก็ต้องคิดเงินให้ถูกต้อง ครบถ้วน ไม่โกงลูกค้า หากพวกเรา ซื่อสัตย์และลูกค้าเชื่อถือ ลูกค้าก็จะกลับมาซื้อกับเราอีก ทำให้เรามีเงินไปซื้อกับข้าวมากินได้ตลอดไม่มีวันหมดอย่างไงล่ะ“

ส่วนคำว่า คด คือ คดโกง เพราะถ้าหากเราคดโกงลูกค้า ขายของหมดอายุ ขายของไม่ดีให้กับลูกค้า ลูกค้าก็จะไม่มาซื้อกับเรา และทำให้เราไม่มีรายได้ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเราก็คงมีกินอยู่ได้ไม่นาน ดังนั้นจงจำไว้ว่า หากพวกเราจะทำกิจการ หรืออยู่ในที่ทำงานแห่งใด จงมีความซื่อสัตย์ และจดจำคำนี้ไว้ให้ตลอดเวลา

“ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน”

2552/03/16

วัดพระชนนีของพระเป็นเจ้า รังสิต THE CHURCH OF OUR LADY MOTHER OF GOD







วัดพระชนนีของพระเป็นเจ้า รังสิต.. เข้าซอยพหลโยธิน 121 มีป้ายบอกทางชัดเจน
วันอาทิตย์ มีมิสซาเป็นภาษาอังกฤษด้วย English Mass 10.45 a.m
มิสซาภาษาไทย เวลา 8.30 น.
ที่มาของวัด...
เมื่อปี 1960 มีสตรีชาวจีนคนหนึ่งเป็นมารดาของเจ้าของโรงน้ำแข็งเซ่งสูง (โรงน้ำแข็งแสงสูง) ที่รังสิต ได้ไปหาคุณพ่อราแป็งซึ่งในขณะนั้นเป็นเจ้าอาวาสวัดกาลหว่าร์ และเสนอยกที่ดินแปลงหนึ่งประมาณ 2 ไร่ เพื่อสร้างโรงสวด เมื่อคุณพ่อราแป็งกลับจากพิษณุโลกในต้นปี 1961 คุณพ่อราแป็งจึงขอให้คุณพ่อแปร์เรย์ไปเยี่ยมคริสตังที่รังสิต และสะพานใหม่
ในปี 1967 หลังจากคุณพ่อแปร์เรย์ได้เป็นเหรัญญิกที่ศูนย์เป็นเวลา 2 ปีแล้ว พระอัครสังฆราชยวง นิตโย ได้แต่งตั้งคุณพ่อแปร์เรย์ เป็นปลัดผู้ช่วยคุณพ่อกิมฮั้ง ที่วัดกาลหว่าร์ และมอบหมายเป็นพิเศษให้ท่านมาดูแลคริสตังที่สะพานใหม่ และรังสิต






2552/03/11

Lawrence Kohberg กระบวนการพัฒนาการของคุณธรรมหรือศีลธรรม



ลอเรนซ์ โคลเบอร์ก (Lawrence Kohberg) นักจิตวิทยาสังคม แบ่งระดับกระบวนการพัฒนาการของคุณธรรมหรือศีลธรรม ไว้ทั้งหมด 3 ระดับ รวม 6 ขั้นตอน ดังนี้
ระดับที่ 1 เริ่มแรกแห่งคุณธรรม (Perconventional morality Stage) ได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอนคือ
ขั้นตอนที่ 1 ขั้นตอนแห่งการพึ่งพา (Heteronomous Stage) เริ่มจากความต้องการส่วนตัวของปัจเจกบุคคลมากกว่าผลประโยชน์ส่วนรวม การกระทำที่ถูกต้องคือ การกระทำที่ได้รับความชื่นชม ส่วนการกระทำที่ผิดก็คือการกระทำที่ทำให้ถูกลงโทษ เปรียบเสมือนข้าพเจ้าในวัยเด็กที่ได้ช่วยขายของก็มุ่งหวังประโยชน์ส่วนตน โดยไม่ได้คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมของร้านค้าที่หากข้าพเจ้าขายสินค้าราคาแพงก็จะทำให้ข้าพเจ้าได้กำไรมากในครั้งนั้นเพียงครั้งเดียว แต่ร้านค้าอาจจะต้องเสียลูกค้าไปหนึ่งคนก็ได้
ขั้นตอนที่ 2 ขั้นตอนแห่งอัตนิยมและหวังผลตอบแทน (The Stage of Individualism and Instrumental Purpose and Exchange) ยังอยู่บนความต้องการส่วนตนมากกว่าส่วนรวม แต่มีความสามารถที่จะแก้ไขปัญหาหากมีความขัดแย้ง เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ตนเองต้องการ

ระดับที่ 2 ยึดคุณธรรมตามประเพณีนิยม (Conventional Morality Stage)
เป็นตัวเราเองที่เป็นผู้มีส่วนรวมในการกำหนดกฎ ระเบียบเพื่อประโยชน์ส่วนตนและส่วนรวม โดยมีการแสดงพฤติกรรมเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการหรือความสนใจจากผู้อื่น ซึ่งแบ่งเป็นอีก 2 ขั้นตอน คือ
ขั้นตอนที่ 3 ขั้นตอนแห่งความคาดหวังและความสัมพันธ์ (The Stage of Multure Interpersonal Expectation, Relationship and Interpersonal Conformity) เป็นการแสดงออกในการกระทำ เพื่อผู้อื่น และเป็นการกระทำที่ถูกต้อง โดยยังให้ความสำคัญกับคุณค่าทางจิตใจมากกว่าทางร่างกาย
ขั้นตอนที่ 4 ขั้นตอนแห่งระบบสังคมและมโนธรรม (The Social System and Conscience Stage) ตั้งอยู่บนรากฐานเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นเป็นหลัก และแก่สังคมโดยรวม แสดงพฤติกรรมเพื่อความดีของสังคม ทำตามระเบียบ แม้ว่าบางครั้งจะไม่เป็นเห็นด้วยกับกฎหมายบางฉบับก็ตาม เป็นการทำตามหน้าที่ สิทธิที่พึงมีของบุคคล
ข้าพเจ้าอยู่ในระดับที่ 2 ที่ยังมีความคาดหวัง และมีมโนธรรมในการดำรงชีวิต เหตุการณ์หลายๆ ครั้งในชีวิตมักจะเป็นดังตัวอย่างของเหตุผลในขั้นตอนนี้ กล่าวคือ “ฉันจะไปกับเธอ เพราะว่าฉันต้องการให้เธอชอบฉัน” ในบางครั้งของกิจกรรมนอกเวลางาน ข้าพเจ้ามักจะมีความคิดว่าถ้าเราไปร่วมงานหรือไปกิจกรรมนี้แล้ว คนจัดงานหรือคนที่ทำงานด้วยต้องแสดงไมตรีจิต หรือสามารถให้ความช่วยเหลือข้าพเจ้าได้ในอนาคต ซึ่งก็สอดคล้องกับขั้นตอนที่ 3 ขั้นตอนแห่งความคาดหวังและความสัมพันธ์ ในบางช่วงเวลา การที่เราทำตามคำสั่งที่เจ้านายบอก หรือทำตามกฎระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในชีวิตประจำวัน นั้นก็เป็นเพราะชีวิตของมนุษย์ต้องการความสงบ ความเป็นระเบียบเป็นขั้นพื้นฐานของมนุษย์

ระดับที่ 3 ยึดคุณธรรมด้วยจิตวิญญาณ (Postconventional Morality Stage)
เป็นตัวเราเองที่ยังยึดถือในกฎเกณฑ์ความถูกผิดของสังคมซึ่งมีไว้เพื่อประโยชน์ส่วนรวม แต่มองไปที่คุณค่าพื้นฐานความเป็นมนุษย์สูงสุด ซึ่งแบ่งเป็น 2 ขั้นตอนคือ
ขั้นตอนที่ 5 ขั้นตอนแห่งสัญญาสังคม (The Stage of Social Contract or Utility and of Individual Rights Stage) เป็นการรักษาและปกป้องประโยชน์หรือคุณค่าโดยรวมของสังคม
ขั้นตอนที่ 6 ขั้นตอนแห่งหลักจริยธรรมสากล (The Stage of Universal Ethical Principles Stage) เป็นการมุ่งเน้นการกระทำที่ถูกต้องตามศีลธรรมที่เป็นสากล เช่น กฎทองคำ “ปฏิบัติต่อผู้อื่นเหมือนกับที่เราต้องการได้รับการปฏิบัติจากผู้อื่นเช่นกัน”

เมื่อเทียบกับทฤษฎีลำดับขั้นของความต้องการของ Maslow แล้วชีวิตของข้าพเจ้าจะอยู่ในช่วงขั้นตอนที่ 4 คือ ความต้องการความนับถือ เนื่องจากในช่วงชีวิตที่ผ่านมาข้าพเจ้าได้รับการตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานขั้นที่ 1 คือความต้องการทางกาย เมื่อหิวข้าพเจ้าก็หาของกินมาได้ และตอบสนองได้อย่างพอเพียงจนบางครั้ง อาจจะมากไปเสียด้วยซ้ำ ทำให้ร่างกายมีน้ำหนักที่เกินมาตรฐานอยู่สักเล็กน้อย
ความต้องการขั้นที่ 2 คือ ความต้องการความปลอดภัย มีงานทำมีสวัสดิการที่ดี และได้รับความคุ้มครองเมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย หรืออุบัติเหตุ ด้วยการซื้อประกันชีวิตในระดับที่ข้าพเจ้าสามารถชำระได้อย่างพอดี
ความต้องการขั้นที่ 3 คือ ความต้องการความรัก อยู่ในบ้านและอยู่ในที่ทำงานก็แสดงความรักต่อผู้อื่น คล้ายกับกฎทองคำ “ปฏิบัติต่อผู้อื่นเหมือนกับที่เราต้องการได้รับการปฏิบัติจากผู้อื่นเช่นกัน” เช่น เมื่อเราต้องการคุยกับเขา หรือทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมงาน เราก็จะต้องไปคุยกับเขาก่อน หรือยิ้มกับเขาก่อน แล้วนั้นก็จะทำให้เราได้รู้จักหรือร่วมงานกันเป็นอย่างดีต่อไปในอนาคต แต่ก็เป็นเพียงแค่บางครั้งที่ข้าพเจ้าสามารถทำได้เช่นนี้ เพราะในความคิดของข้าพเจ้านั้นเป็นการยากที่เราจะสามารถเป็นหรืออยู่ในขั้นที่ 6 ของทฤษฎี Kohlberg ได้ตลอดเวลา เพราะว่าคนเรามักมีข้อจำกัดในการดำเนินชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว ครอบครัว หรืออะไรก็แล้วแต่ที่จะนำมากล่าวอ้างได้
แต่หากพวกเรา หรือคนที่อยู่ในสังคมมีความมุ่งหวังที่จะดำเนินชีวิตก้าวเข้าสู่ขั้นที่ 5 หรือขั้นที่ 6 ของทฤษฎี Kohlberg แล้วก็จะทำให้สังคมนั้นมีความสุข และมีความสงบได้ คงไม่มากก็น้อยที่ชีวิตของเราจะสามารถดำเนินต่อไปได้ในสังคมทุกวันนี้

กลับมากล่าวถึง ขั้นตอนที่ 4 คือ ความต้องการความนับถือ ในชีวิตของข้าพเจ้านั้นจะเป็นในมุมมองของความต้องการความสำเร็จในชีวิตหน้าที่การงาน มากกว่าการนับถือ ถึงแม้ว่าในช่วงชีวิตการทำงานของข้าพเจ้าจะเป็นพนักงานและก้าวเข้าสู่การเป็นผู้จัดการแผนกฯ แต่แล้วด้วยความที่ข้าพเจ้ามีความต้องการความสำเร็จที่จะเป็นเจ้าของกิจการ ทำให้ข้าพเจ้าได้ตัดสินใจลาออก และออกมาทำธุรกิจกับเพื่อนๆ ซึ่งขณะนั้นก็ไม่ได้คาดคิดว่าตนเองจะเป็นเจ้าของบริษัทฯ อะไรใหญ่โต หรือร่ำรวยเป็นร้อยล้าน พันล้าน แต่เพียงแค่ตอบสนองความต้องการในข้อนี้เท่านั้น คือความสำเร็จที่ข้าพเจ้าจะได้เป็นเจ้าของบริษัทฯ หรือมีธุรกิจเป็นของตนเอง โดยที่ตนเองเป็นหุ้นส่วนใหญ่ในบริษัทฯ แต่หลังจากที่ข้าพเจ้าได้ลงมือทำกิจการของตนเอง ลงมือแก้ปัญหาด้วยตนเอง ทำทุกอย่างทั้งหมดเพื่อให้บริษัทฯ สามารถมียอดขาย และมีรายได้เข้าบริษัทฯ แต่ทว่าภาวะเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาทำให้ข้าพเจ้าและเพื่อนๆ มีความยากลำบากในการดำเนินธุรกิจ และประสบภาวการณ์ขาดทุน แต่พวกเราก็พยายามปรึกษาหารือ วิ่งหาทุนมาเพิ่มเพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ พวกเราที่เป็นหุ้นส่วนกันถึงแม้จะมีความเห็นแตกต่างกันไปบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับแตกแยก เพราะถือว่าเป็นการตัดสินใจร่วมกันตั้งแต่ต้นที่พวกเราจะออกมาทำธุรกิจเป็นของตนเอง
จนในที่สุดภาวการณ์อันเลวร้ายต่างๆ ทำให้พวกเราตัดสินใจปิดกิจการ ซึ่งเป็น SMEs หนึ่งในหลายร้อย SMEs ที่ต้องปิดกิจการในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจไม่ดี ทั้งน้ำมันแพง ค่าครองชีพสูง การเมืองภายในไม่สงบ เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามข้าพเจ้าและเพื่อนๆ ก็ได้แยกย้ายกันไปประกอบอาชีพลูกจ้าง หรือพนักงานตามบริษัทต่างๆ ซึ่งก็ทำให้แต่ละคนมีชีวิตอยู่ และข้าพเจ้าก็ได้มีโอกาสกลับมาพัฒนาด้านจิตใจมากขึ้นอย่างที่กล่าวในข้อที่หนึ่งของบทเรียนนี้ เพราะว่าได้ห่างเหินมานานในช่วงชีวิตที่มัวแต่หมกหมุ่นอยู่กับการทำงานเพื่อดำรงชีพ และปัจจุบันพวกเราทุกคนก็สามารถครองชีพได้ในช่วงเศรษฐกิจขาลงที่กำลังจะเกิดขึ้นในขณะนี้

สำหรับความต้องการขั้นสูงสุดของ Maslow ซึ่งเป็นขั้นสุดท้าย คือ ความต้องการเป็นคนที่สมบูรณ์ ในความคิดของข้าพเจ้าคิดว่าการเข้าสู่ขั้นนี้เป็นเรื่องที่ยากในการดำเนินชีวิตในปัจจุบันของสังคมเมือง แต่หากว่าคนใดที่มีความตั้งใจหรือมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตนเองให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดี และจะทำให้สังคมนั้นน่าอยู่ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลในระดับใด พนักงาน, ผู้บริหารระดับกลาง, ผู้บริหารระดับสูง, ข้าราชการ, นักการเมือง เป็นต้น

2552/03/08

หวนอดีต "แสงชัยพานิช"

เดิมครอบครัวของข้าพเจ้าเปิดร้านค้าขายของชำ หรือที่เรียกกันว่า “โชว์ห่วย” นับว่าเป็นร้านค้าเล็กๆ 2 คูหา บนถนนดินแดง คุณพ่อใช้ชื่อร้านว่า “แสงชัยพานิช” ซึ่งเป็นการอ่านออกเสียงจากคำว่า “เส็งไช” ในภาษาจีนแต้จิ๋ว ร้านแห่งนี้เปิดเมื่อ ปี พ.ศ.2518 ข้าพเจ้ามีอายุได้เพียง 1 ขวบกว่าๆ ภาพที่ข้าพเจ้าเห็นบ่อยๆ คือ ป๊าป๊า และ ม๊าม๊า ขายของตั้งแต่ข้าวสาร ของใช้ในครัว และ ของใช้ในชีวิตประจำวัน ตลอดจนขนมปัง เบเกอรี่ ท่านทั้ง 2 ทำธุรกิจนี้ และเลี้ยงดูข้าพเจ้ากับพี่ๆ อีก 6 คน จนจบการศึกษาและแยกย้ายกันไปมีครอบครัว เมื่อข้าพเจ้าโตพอที่จะช่วยชายของได้ ข้าพเจ้าก็เริ่มช่วยขายของ โดยการหยิบของเล็กๆ น้อยๆ ส่งของ เรียงของเข้าตู้ หรือเข้าชั้นขายสินค้า ตามช่วงวันหยุด และเวลาที่ปิดเทอม

ช่วงปิดเทอมในวัยเด็กของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจำได้ว่าอยากได้ของเล่นสักชิ้นหนึ่ง แต่ป๊าๆ ได้บอกว่าให้ข้าพเจ้า ช่วยขายสินค้า แล้วนำเงินที่ได้จากการกำไรสินค้านั้นๆ รวบรวมแล้วไปซื้อของเล่นที่อยากได้ ขณะนั้นข้าพเจ้าก็มีความสงสัยว่า ? ทำไมป๊าๆ ถึงไม่ให้นำเงินทั้งหมดที่ขายได้ไปซื้อละ ทำไมให้แค่กำไรที่จะนำไปซื้อของเล่น?? แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ถามอะไรมากนัก ก็ลงมือเริ่มขายของที่ร้านทุกวัน ตั้งแต่ 10 โมง จนถึง 6 โมงเย็น

ข้าพเจ้ามีสมุดเล็กๆ ไว้สำหรับจดยอดกำไรที่ข้าพเจ้าได้รับในแต่ละครั้งที่ข้าพเจ้าขายสินค้าได้ เวลาที่ขายสินค้าได้ ก็จะไปถามพี่สาวคนโต หรือป๊าๆ ว่าได้กำไรเท่าไร แล้วก็จดลงไปในสมุด มีอยู่ครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าก็ตะโกนถามออกมาว่า
“ป๊า ขนมปังนี้กำไรเท่าไรครับ ผมจะจดลงสมุด”
ขณะนั้นลูกค้ายังอยู่ในร้านแล้วก็ทำหน้างงๆ แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้สนใจว่าเขาทำหน้าอย่างนั้นทำไม
ป๊าๆ ก็เดินมาบอกกับลูกค้าว่า “ลูกจะซื้อของเล่น อั๊วก็เลยให้มาช่วยขายของ เก็บเงินไว้ไปซื้อของเล่นชิ้นนั้น”
ลูกค้าก็ยิ้มๆ แล้วบอกว่า “ดีจัง ขยันเขานะหนู” แล้วก็เดินออกไปจากร้าน
หลังจากนั้นสักพักป๊าๆ ก็เข้ามาบอกว่าครั้งต่อไป รอให้ลูกค้าออกไปก่อนแล้วค่อยถามและให้ใช้เสียงเบาๆ ด้วย เดี๋ยวลูกค้าเขาจะตกใจ ห้ามตะโกนถามแบบนี้อีกนะ



สินค้าในร้านที่ขายกันปกติ ป๊าๆจะขายสินค้าถูกกว่าราคาป้ายของสินค้า เช่น นมผงติดราคาไว้กระป๋องละ 132 บาท ที่ร้านจะขายเพียง 125 บาท เป็นต้น และหากเป็นสินค้าชิ้นใหญ่ๆ ที่ร้านจะใช้ตัวอักษรภาษาจีนซึ่งเป็นรหัสที่ใช้กันในร้านนี้เท่านั้น เขียนไว้บนตัวสินค้าว่า สินค้าชิ้นนี้ซื้อมาในราคาต้นทุนเท่าไร ซึ่งจะทำให้พวกเราเห็นต้นทุนของสินค้านั้นๆ เช่น นมผงกระป๋องนี้มีราคาต้นทุนเท่ากับ 110 บาท เป็นต้น ในกรณีนี้ก็จะทำให้ข้าพเจ้ามีกำไรจากการขายนมผงนี้เท่ากับ 15 บาท


หลังจากที่ข้าพเจ้าอยู่ช่วยขายของไปได้สักระยะหนึ่ง ก็เริ่มสงสัย และคิดว่าทำไมเราไม่ขายนมผงกระป๋องนี้ ในราคาเต็มไปเลย คือ 132 บาท ก็จะทำให้เราได้กำไรเพิ่มขึ้นอีก 7 บาท ทำให้ในครั้งต่อไปข้าพเจ้าก็ได้ขายนมกระป๋องกับลูกค้าอีกคนหนึ่ง ในราคา 130 บาท แต่ปรากฏว่าลูกค้าเขาก็สงสัยและถามกลับว่า “อ้าว ?? ไม่ใช่ 125 บาท หรือจ้ะ?? เคยซื้ออยู่ราคานี้นะ”
ข้าพเจ้าก็ตอบกลับว่า “ไม่ได้ครับ”
“ลองไปถามป๊าๆ ดูสิ” ลูกค้าตอบกลับ
ทำให้ข้าพเจ้าต้องเดินไปถามป๊าๆ พร้อมกับหยิบนมกระป๋องนั้น ไปถาม “ป๊าๆ อันนี้เท่าไรครับ”
ป๊าๆ ก็มองดูที่ใต้กระป๋องที่มีโค้ดภาษาจีนอยู่ แล้วบอกว่า “125 บาท” ข้าพเจ้าก็หยิบนมกระป๋องใส่ถุงหิ้วให้กับลูกค้า
เย็นวันนั้น ขณะกำลังนั่งกินข้าวเย็นกับป๊าๆ ป๊าก็ถามว่า “ลูกค้ามาซื้อของที่ร้านเราบอ่ยๆ เป็นเพราะอะไรรู้ไหม?”
“ไม่รู้ครับ”
“เป็นเพราะร้านของเราขายสินค้าราคาไม่แพง และมีของให้เลือกเยอะ ลูกค้าจึงกลับมาซื้อกลับเราบ่อยๆ อย่างเช่น นมกระป๋องที่วันนี้ขายไปนั้น ถ้าเราขาย 130 บาท จริงอยู่ที่จะได้กำไรมากถึง 20 บาท แต่ถ้าลูกค้ากินหมดแล้ว และไปซื้อร้านอื่น เราก็จะเสียลูกค้า และไม่ได้เงินจากเขาอีกนะ ในกรณีถ้าเราขายแค่ 125 บาท ได้กำไรแค่ 15 บาท แล้วลูกค้ากลับมาซื้ออีกครั้ง ก็จะทำให้เรามีกำไรอีก 15 บาท เป็นเท่าไรรู้ไหม?” ป๊าๆ ถามกลับ
“เป็น 30 บาทครับ” ข้าพเจ้าตอบ
“เห็นไหมว่ามันเยอะกว่าในตอนแรกที่เราได้แค่ 20 บาท ดังนั้นพ่อค้าอย่างเรา ควรมีคุณธรรมและจริยธรรมในการค้าขาย ให้มีกำไรแต่พอดี ไม่เอาเปรียบลูกค้า ซึ่งควรจะยึดหลักอิทธิบาท 4 คือ


· ฉันทะ คือ ความพอใจ ในฐานะเราเป็นพ่อค้าร้านขายของ มีกำไรพอเลี้ยงตัวเอง และชอบในการขายสินค้าให้ลูกค้า
· วิริยะ คือ ความพากเพียร ขยัน ทำมาหากิน ไม่ขาดตอนเป็นระยะเวลายาวนานเหมือนที่เปิดร้านให้ลูกค้ามาซื้อของตลอด 7 วันไม่มีหยุด
· จิตตะ คือ ความใส่ใจ ไม่ทอดทิ้งร้าน และทำด้วยใจจดจ่อ โดยสนใจในตัวลูกค้าและสินค้าที่ขาย
· วิมังสา คือ การแสวงหาความรู้เพิ่มเติม และทำให้ร้านค้าพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ ตลอดเวลา


เหตุการณ์ในช่วงที่ข้าพเจ้าขายของ เพื่อเก็บกำไรมาซื้อของที่ข้าพเจ้าต้องการนั้น ทำให้ข้าพเจ้าได้เรียนรู้อะไรเพิ่มเติมมากกว่าการบวก ลบ ตัวเลขธรรมดา และมุ่งหวังแต่กำไรเยอะๆ แต่ข้าพเจ้าได้เข้าใจว่าการเป็นพ่อค้านั้น จะต้องยึดถือคุณธรรมและมีจริยธรรมในการค้าขายอีกด้วย ซึ่งข้าพเจ้าก็ยึดถือและนำมาปฏิบัติในแต่ละช่วงเวลาของชีวิตข้าพเจ้า ในปัจจุบันข้าพเจ้าได้มีโอกาสนั่งสมาธิกับเพื่อนๆ ทำให้ข้าพเจ้าได้เข้าใจถึง คุณธรรมของพรหมวิหาร 4
· เมตตา คือ ความรักความปรารถนาดีที่ให้เพื่อนร่วมงาน หรือผู้อื่นมีความสุข
· กรุณา คือ ความสงสาร เห็นใจปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นความทุกข์
· มุทิตา คือ ความรู้สึกพลอยชื่นชมยินดีเมื่อเพื่อนร่วมงาน หรือผู้อื่นได้ดี เจริญก้าวหน้า
· อุเบกขา คือ ความรู้สึกวางเฉย โดยปราศจากอคติ หรือสิ่งที่มายั่วยวน

หลักธรรมหรือคุณธรรม เหล่านี้พยายามนำมาใช้ในแต่ละช่วงเวลาที่ข้าพเจ้าทำงาน ทำให้ข้าพเจ้าทำงานได้อย่างมีความสุขมากขึ้น แม้ว่าในบางช่วงเวลาอาจจะหลงลืม หรือ มัวแต่จมอยู่กับปัญหา หรืองานที่รุ่มเร้าเข้ามาในบางช่วงเวลาของชีวิต แต่ถ้าเรามีสติ หรือมีสมาธิก็สามารถฟันฝ่าปัญหาหรืองานต่างๆ ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี

2552/03/01

สลัมด็อก มิลเลียนแนร์ ความจริงและความฝัน

Slumdog Millionaire
มีโอกาสได้ไปดูหนังโรง ซึ่งเป็นหนังดัดแปลงจากนิยายดังของอินเดีย โดยฝีมือของผู้กำกับอังกฤษ ที่แต่เดิมไม่มีค่ายหนังไหนสนใจจะนำมาฉายในอเมริกาจนเกือบจะต้องออกจำหน่ายเป็นหนังแผ่น ได้สร้างปรากฏการณ์บนเวทีออสการ์ด้วยการคว้ารางวัลใหญ่ไปครองถึง 8 สาขา รวมทั้งสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมที่คว้าไปอย่างไร้คู่แข่ง ซึ่งเป็นหนังที่สะท้อนความจริง ของสังคม และความฝันของคนด้วยเช่นกัน

หากใครมีโอกาสได้ไปดู หรือคิดว่าจะหนังเป็นแผ่นเก็บไว้สักเรื่อง ก็ดีไม่ใช่น้อย ขอสนับสนุนหนังเรื่องนี้ด้วยอีกแรงใจหนึ่ง

ผลจากที่หนังได้รับรางวัลสำหรับดาราเด็ก
มุมไบ 27 ก.พ.- ดาราเด็กจากภาพยนตร์ “สลัมด็อก มิลเลียนแนร์“ ที่กวาดรางวัลออสการ์ไปถึง 8 สาขา กลับมาใช้ชีวิตในชุมชนแออัดของนครมุมไบ ประเทศอินเดีย ตามเดิม หลังมีโอกาสเหินฟ้าไปสหรัฐ เพื่อร่วมงานประกาศผลออสการ์ที่ฮอลลีวู้ด เมื่อไม่กี่วันก่อน

เด็กชาย อาซารุดดิน อิสมาอิล และเด็กหญิง รูบีนา อาลี สองดาราเด็กจากภาพยนตร์เรื่องดัง ต้องกลับมานอนกลางดินกินกลางทรายเช่นเดิม ในที่พักของพวกเขา ซึ่งตั้งอยู่ในชุมชนแออัดกลางนครมุมไบ โดยเด็กชายอาซารุดดิน นอนอยู่ใต้แผ่นพลาสติกในเพิงที่พักใกล้รางรถไฟ ท่ามกลางกลิ่นปัสสาวะและมูลวัวที่โชยมาเป็นระยะ ส่วนเด็กหญิงรูบีนานอนกับพ่อแม่พี่น้องในเพิงเล็ก ๆ ใกล้ท่อระบายน้ำ
สองหนูน้อยอาศัยอยู่ในชุมชนแออัดแห่งนี้มาตั้งแต่เกิด จนวันหนึ่งได้มีโปรดิวเซอร์หยิบยื่นโอกาสให้มาร่วมแสดงในภาพยนตร์ “สลัมด็อก มิลเลียนแนร์ “ ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เติบโตในชุมชนแออัดกลางนครมุมไบ ภาพยนตร์ประสบความสำเร็จไปทั่วโลก จึงทำให้สองหนูน้อยได้มีโอกาสร่วมเดินทางกับคณะผู้ถ่ายทำภาพยนตร์ไปร่วมงานประกาศผลออสการ์ที่ฮอลลีวู้ด นครลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย และนับเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้มีโอกาสขึ้นเครื่องบิน

เด็กหญิงรูบีนา พูดถึงเครื่องบินว่า ใหญ่กว่าที่เธอคิดไว้มาก ทั้งยังพูดชมประเทศสหรัฐ ว่า เป็นดินแดนที่มหัศจรรย์ นอกจากการร่วมงานประกาศผลออสการ์แล้ว เด็ก ๆ กลุ่มนี้ยังได้มีโอกาสเที่ยวชมสวนสนุกดิสนีย์แลนด์ เด็กหญิงรูบีนาบอกว่า เธอชอบเครื่องเล่นทุกชนิด แต่ที่ไม่ชอบคืออาหารอเมริกันเพราะไม่ถูกปาก

เมื่อเด็กทั้งสองกลับมายังประเทศอินเดีย พวกเขาได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นและกลายเป็นคนดังเพียงชั่วข้ามคืน ชีวิตความเป็นอยู่ล้วนถูกช่างภาพปาปารัสซีบันทึกเอาไว้ ด้านทีมงานผู้สร้างภาพยนตร์ ตัดสินใจส่งเสียเด็กทั้งสองให้ได้เข้าโรงเรียน และจะออกค่าเล่าเรียนให้จนกระทั่งพวกเขามีอายุครบ 18 ปี

ส่วนกองทุนที่จัดตั้งไว้ จะให้เด็กทั้งคู่ถอนเงินออกมาใช้ได้ ก็ต่อเมื่อพวกเขามีอายุครบ 18 ปีแล้วเท่านั้น โดยหวังว่า ความช่วยเหลือนี้จะโน้มนำให้เด็กสองคนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น. -สำนักข่าวไทย