2568/10/01

ลูกค้า​ คือ​ บุคคลที่สำคัญที่สุด...

“ลูกค้าคือ…”

​ในบ่ายวันหนึ่ง ณ ร้านกาแฟมุมสงบ กลิ่นกาแฟคั่วหอมกรุ่นเคล้ากับเสียงพูดคุยแผ่วเบา ต้าเกอนั่งมองสาวกลางคนสองคนที่อยู่ตรงหน้าด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจ เวลาช่างผ่านไปเร็วจริงๆ จากน้องๆ​ในทีมที่เคยร่วมงานกันเมื่อหลายปีก่อน 

วันนี้คนหนึ่งคือ "แก้ว" หัวหน้าแผนกขายไฟแรง และอีกคนคือ "อ้อน" ผู้จัดการสาขาในภาคตะวันออก

​หลังบทสนทนาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบผ่านไป แก้ว​ ก็ยิ้มขึ้นมาอย่างมีเลศนัย

​"พี่ต้าเกอ... ฉันกับอ้อนเพิ่งคุยกันเมื่อวาน ยังจำได้ไหมคะ.. ในช่วงปีแรกๆ ที่เราเข้ามาทำงาน พี่ให้เราไปยืนทำอะไร"

​ต้าเกอเลิกคิ้ว นึกย้อนไปในวันวานแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ "จำได้สิ... ให้ไปยืนอ่านป้ายตรงกำแพงนั่นน่ะ"  มือก็ชี้ไปที่กำแพงสีน้ำตาล

​อ้อนพยักหน้าเสริมทันที "ใช่เลยคะพี่ ตอนนั้นหนูยังงงๆ เลย โดนพี่สั่งให้ไปยืนท่องข้อความของมหาตมะ คานธี ที่ผู้ก่อตั้งบริษัทเราเอามาติดไว้ ท่องไปเรื่อยๆ​ ประมาณเกือบเดือน… ... 

“ลูกค้าคือบุคคลสำคัญที่สุดที่มาเยือนเราในสถานที่นี้…” 

​"ตอนนั้นยอมรับเลยว่าแอบคิดในใจ" อ้อนพูดต่อ "ว่าจะให้ท่องทำไมกันนะ มันก็แค่คำสวยหรูไม่ใช่เหรอ"

​ต้าเกอฟังแล้วก็ได้แต่ยิ้ม ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่จิบกาแฟรอฟังสิ่งที่น้องทั้งสองอยากจะเล่าต่อ

​"แต่พอเวลาผ่านไป ยิ่งหนูโตขึ้นในหน้าที่การงาน" แก้วพูดด้วยแววตาจริงจัง "หนูยิ่งเข้าใจความหมายของมันคะต้าเกอ​  วันที่หนูเจอปัญหาหนักๆ กับลูกค้า วันที่ทีมของหนูท้อแท้ หนูจะนึกถึงประโยคนั้นเสมอ มันไม่ใช่แค่คำท่องจำ แต่มันคือแก่น คือหัวใจของงานเราจริงๆ ลูกค้าไม่ได้พึ่งพาเรา แต่เราต่างหากที่ต้องพึ่งพาเขา"

​"หนูเองก็เหมือนกันคะ" อ้อนกล่าว "ทุกวันนี้เวลาหนูสอนทีมงานใหม่ๆ หนูก็เล่าเรื่องที่พี่เคยให้พวกเราไปยืนท่องให้พวกเขาฟัง มันกลายเป็นเรื่องเล่าคลาสสิกในแผนกไปแล้ว (หัวเราะ) มันคือการปลูกฝังรากฐานที่สำคัญที่สุด ว่าเราทำงานนี้ไปเพื่อใครและเพื่ออะไร"

​คำพูดของน้องทั้งสองคน ทำให้ต้าเกอ รู้สึกตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูก มันไม่ใช่ความภูมิใจในตัวเองที่เคยสอนพวกเขา แต่เป็นความรู้สึกขอบคุณที่หยั่งรากลึกลงไปในใจ

​ขอบคุณ... ที่น้องทั้งสองไม่เคยลืมเลือนบทเรียนเล็กๆ ในวันนั้น

​ขอบคุณ... ท่านผู้ก่อตั้งบริษัทที่มีวิสัยทัศน์ นำคำสอนอันล้ำค่านี้มาเป็นรากฐานขององค์กร

​และขอบคุณ... มหาตมะ คานธี ผู้มอบบทเรียนที่ทรงพลังและเป็นอมตะบทนี้ไว้ให้โลก

​ต้าเกอวางแก้วกาแฟลง มองหน้าน้องรักทั้งสองคนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเปี่ยมด้วยความหมายว่า

​"ดีใจที่พวกเธอเข้าใจ... เพราะสุดท้ายแล้ว คำตอบของคำว่า 'ลูกค้าคือ...' มันไม่ได้อยู่บนป้ายให้อ่าน... แต่มันอยู่ในการกระทำและหัวใจของเราทุกคนนี่แหละ"

​บรรยากาศในร้านกาแฟยังคงดำเนินไป แต่ในใจของคนทั้งสาม บทเรียนบทเก่าได้ถูกปลุกขึ้นมาให้มีชีวิตชีวาอีกครั้ง พร้อมที่จะถูกส่งต่อไปยังคนรุ่นใหม่อย่างไม่มีวันสิ้นสุด


2568/09/23

ก้าวแรกของเจินจู

​กลิ่นกาแฟจางๆ และเสียงคีย์บอร์ดที่ดังระรัวเป็นซิมโฟนีประจำวันของออฟฟิศแห่งนี้ แต่สำหรับ ‘เจินจู’ พนักงานใหม่ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ นี่คือเสียงแห่งการเริ่มต้นที่น่าตื่นเต้น สัปดาห์แรกของเธอผ่านไปกับการเรียนรู้ระบบและทำความรู้จักเพื่อนร่วมงานในทีม 

แต่สัปดาห์ที่สองนี่สิ คือของจริง
​โปรเจกต์ใหม่ล่าสุดถูกวางลงบนโต๊ะของเธอ มันคือภารกิจเปิดตลาดผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย ทั้งฝ่ายการตลาดที่ต้องวางแผนโปรโมชัน ฝ่ายขายที่ต้องหาช่องทางกระจายสินค้า และฝ่ายไอทีที่ต้องเตรียมระบบหลังบ้านให้พร้อม

​เจินจูไล่อ่านเอกสารอย่างละเอียด สมองของเธอประมวลผลข้อมูลอย่างรวดเร็ว พร้อมกับขีดเขียนแผนการทำงานคร่าวๆ ในสมุดบันทึก "ดูท่าจะไม่ง่ายแฮะ" เธอยิ้มให้กับตัวเอง ก่อนจะเหลือบไปมอง ‘ต้าเกอ’ รุ่นพี่ในทีมที่นั่งอยู่ไม่ไกล เขาคือคนที่ทุกคนบอกว่าพึ่งพาได้เสมอ

​"พี่ต้าเกอคะ พอจะมีเวลาสักครู่ไหมคะ" เจินจูเดินเข้าไปหาพร้อมกับรอยยิ้มที่เป็นมิตร
​ต้าเกอเงยหน้าจากจอคอมพิวเตอร์ "ได้สิเจินจู มีอะไรให้พี่ช่วยเหรอ"

​"พอดีเจินจูได้รับมอบหมายโปรเจกต์ใหม่ค่ะ เลยอยากจะขอคำแนะนำจากพี่ต้าเกอว่าควรจะเริ่มประสานงานกับฝ่ายอื่นยังไงดี ให้ราบรื่นที่สุดค่ะ" เธออธิบายพร้อมกับยื่นแผนภาพคร่าวๆ ที่ร่างไว้ให้ดู

​ต้าเกอมองแผนของเธอแล้วพยักหน้าช้าๆ "เตรียมตัวมาดีนี่... คำแนะนำของพี่ง่ายๆ เลยนะ คือเราต้องทำการบ้านไปก่อน อย่าเดินไปหาเขาตัวเปล่าๆ"

​"ทำการบ้านยังไงเหรอคะ"
​"อย่างฝ่ายการตลาด หัวหน้าทีมเขาคือคุณภิญโญ เขาเป็นคนตรงไปตรงมาและให้ความสำคัญกับข้อมูลมาก ก่อนจะไปคุยกับเขา เราควรเตรียมข้อมูลไปนำเสนอให้ชัดเจนว่าโปรเจกต์ของเราจะช่วยให้ทีมเขาได้ประโยชน์อะไรบ้าง ส่วนฝ่ายขาย ลองคุยกับคุณสมศรีดู เขาเป็นคนใจดีและชอบคนที่มีน้ำใจ ลองซื้อขนมติดไม้ติดมือไปฝากบ้างก็ได้" ต้าเกอแนะนำอย่างใจเย็น

​เจินจูรับฟังทุกคำแนะนำด้วยความตั้งใจ เธอใช้เวลาทั้งบ่ายเพื่อเตรียมข้อมูลสำหรับฝ่ายการตลาด สรุปประเด็นสำคัญเป็นข้อๆ พร้อมกราฟแสดงการคาดการณ์ผลลัพธ์ที่เข้าใจง่าย จากนั้นเธอก็ร่างอีเมลนัดหมายด้วยภาษาที่สุภาพและเป็นทางการ

​วันรุ่งขึ้น เธอเริ่มต้นที่ฝ่ายการตลาดตามคำแนะนำ เมื่อถึงเวลานัด เธอเดินเข้าไปพบคุณภิญโญด้วยท่าทีนอบน้อมแต่แฝงไปด้วยความมั่นใจ

​"สวัสดีค่ะคุณภิญโญ เจินจูจากฝ่ายพัฒนาธุรกิจนะคะ วันนี้ขออนุญาตเข้ามาแนะนำโปรเจกต์ใหม่ ซึ่งเจินจูเชื่อว่าจะช่วยสร้างยอดขายและทำให้แคมเปญการตลาดของคุณภิญโญน่าสนใจยิ่งขึ้นค่ะ"

​เธอใช้เวลาเพียง 10 นาทีในการนำเสนอประเด็นสำคัญ พร้อมตอบคำถามได้อย่างฉะฉาน คุณภิญโญที่ตอนแรกมีสีหน้าเรียบเฉย เริ่มมีแววตาที่สนใจ "น่าสนใจ... เตรียมตัวมาดีนี่ งั้นเดี๋ยวผมจะให้ทีมงานรีบดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้"

​ความสำเร็จแรกสร้างกำลังใจให้เจินจูอย่างมาก ช่วงบ่ายเธอแวะซื้อครัวซองต์เจ้าอร่อยไปฝากฝ่ายขายอย่างที่คุณต้าเกอแนะนำ และการพูดคุยก็เป็นไปอย่างราบรื่นและเป็นกันเองอย่างไม่น่าเชื่อ

​ภายในหนึ่งสัปดาห์ การประสานงานโปรเจกต์ของเจินจูก็เดินหน้าไปกว่าครึ่ง ทุกฝ่ายให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ข่าวความสามารถในการทำงานของพนักงานใหม่คนนี้เริ่มเป็นที่พูดถึงในทางที่ดี
​เย็นวันศุกร์ ต้าเกอเดินมาตบไหล่เจินจูเบาๆ "เป็นไงบ้าง มือใหม่"

​เจินจูยิ้มกว้าง "ผ่านไปได้ด้วยดีเลยค่ะ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำของพี่ต้าเกอนะคะ ช่วยเจินจูได้เยอะเลย"

​"ไม่ใช่เพราะพี่หรอก" ต้าเกอส่ายหน้า "แต่เป็นเพราะความหัวไวและความนอบน้อมของเธอต่างหาก จำไว้นะเจินจู ความเก่งกาจที่มาพร้อมความนอบน้อม คือกุญแจดอกสำคัญที่ไขประตูที่ดูเหมือนจะปิดตายได้ทุกบาน"

​เจินจูมองไปรอบๆ ออฟฟิศที่เริ่มเงียบสงบลง เธอรู้สึกว่านี่ไม่ใช่แค่ที่ทำงาน แต่คือสถานที่ที่จะทำให้เธอเติบโตขึ้นไปอีกขั้น และเธอก็พร้อมแล้วสำหรับทุกบทพิสูจน์ที่จะเข้ามา

2568/09/19

เธอดีขึ้นวันละนิด

ณ คลังสินค้าแห่งหนึ่ง หญิงสาววัย 39 ปี ชื่อ "นิด" ทำงานอย่างขยันขันแข็ง แม้ภายนอกเธอจะดูเงียบขรึม แต่ภายในใจกลับเต็มไปด้วยความกังวล ผลตรวจสุขภาพล่าสุดแจ้งว่าเธอพบต่อมน้ำเหลืองที่ขั้วปอด
​นิดกลับบ้านมาด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง เธอเล่าเรื่องนี้ให้พี่สาวฟัง พี่สาวแนะนำให้เธอฝึกจิตใจให้เข้มแข็ง โดยการพูดให้กำลังใจตัวเองทุกวันในยามเช้า

ฉันสุขภาพดีแข็งแรง
ฉันมีความสุข​
ฉันมีเงินเก็บ​ 100,000​ บาท

นิดเริ่มทำตามคำแนะนำ นอกจากนี้เธอยังฟัง YouTube นั่งสมาธิทุกวัน วันละ​ 5 นาที

วันหนึ่ง นิดสังเกตเห็นว่าแท่นพระที่บ้านวางไม่ถูกต้อง เธอจึงจัดวางใหม่ โดยให้พระพุทธรูปอยู่สูงสุด (หลวงพ่อทันใจ)​ รองลงมาเป็นเทพ​ หรือสมมติเทพ​ พระสงฆ์​/ พระเกจิอาจารย์

​แม้จะเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย แต่การกระทำเหล่านี้กลับสร้างความรู้สึกดีๆ ให้เกิดขึ้นในใจของนิด​ ที่ผ่านมาความสุขของนิด​ คือ​ การกลับบ้านแล้วได้อยู่กับลูก และบทบาทตนเองที่เป็นแม่ เราต้องอยู่กับลูกให้นานที่สุด

และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของ​ นิด​ เธอดีขึ้นวันละนิด

2568/07/27

อีกหน่อยเธอคง(ไม่)เข้าใจ

สมศักดิ์วางรีโมตทีวีลงบนโซฟา เขามองหน้ามณีเมียรักที่กำลังง่วนอยู่กับการมาสก์หน้าด้วยแตงกวาแปะเต็มพรืด แล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ ดั่งวีรบุรุษผู้เตรียมสละชีพเพื่อชาติ

​"ที่รักจ๊ะ" เขาเริ่มต้นบทสนทนาที่ซ้อมมาหน้ากระจกสามรอบ "พี่มีเรื่องสำคัญจะบอก"

​มณีค่อยๆ พยักหน้า แตงกวาแผ่นหนึ่งบนแก้มสั่นระริก

​"คือ... นับจากพรุ่งนี้เป็นต้นไป พี่จะเปลี่ยนแปลงกฎบางอย่างในบ้านเรา"

อาจจะดูใจร้าย ก็ขอให้เธออดทน... เสียงพี่ป้อมธเนศแว่วขึ้นมาในหัวสมศักดิ์

​"หนึ่ง... เราจะงดกินหมูกรอบ ชาไข่มุก ของทอด ของมัน ทั้งหมด!"

​แตงกวาบนหน้าผากมณีร่วงแผละลงบนตัก "ว่าไงนะ!?"

​"สอง... พี่จะเอาเครื่องชั่งน้ำหนักมาตั้งไว้หน้าห้องน้ำ เราจะชั่งน้ำหนักกันทุกเช้า"

​"สาม... เวลาดูซีรีส์เกาหลี พี่จะเปลี่ยนเป็นเปิดสารคดี 'ชีวิตสิงโตเจ้าป่า' แทน เพื่อปลุกสัญชาตญาณนักสู้ในตัวเรา"

​มณีดึงแตงกวาออกจากหน้าทั้งหมด เผยให้เห็นดวงตาที่เบิกโพลงด้วยความงุนงงระคนสยองขวัญ "พี่ศักดิ์... พี่ไปโดนตัวไหนมา?"

​สมศักดิ์ส่ายหน้าอย่างอ่อนโยน เขากุมมือภรรยาไว้แน่น "ที่รัก... ที่ฉันทำลงไป ก็เพื่อเราสองคนนะ"

​"เพื่อเราสองคนยังไง! พี่รู้ไหมว่าหมูกรอบเยียวยาจิตใจมณีได้ดีแค่ไหน! พี่รู้ไหมว่าการดูโอปป้ามันชุ่มชื่นหัวใจยิ่งกว่าน้ำแร่!"

​"อดทนหน่อยนะที่รัก" สมศักดิ์พูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น "อีกหน่อยเธอคงเข้าใจ"

​หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป... บ้านของสมศักดิ์กับมณีไม่ต่างอะไรกับค่ายทหารฝึกรบพิเศษ

​เสียงนาฬิกาปลุกตอนตีห้าคือเสียงนกหวีด มื้อเช้าคือข้าวโอ๊ตจืดชืดกับกล้วยหนึ่งใบ มื้อเย็นคือสลัดผักที่สมศักดิ์เรียกว่า 'ทุ่งหญ้าสะวันนา' มณีซูบผอมลงเล็กน้อย แต่ส่วนใหญ่มาจากความตรอมใจมากกว่าการลดน้ำหนัก

​เย็นวันศุกร์ ขณะที่มณีกำลังแทะแครอทด้วยสายตาเลื่อนลอย สมศักดิ์ก็เดินยิ้มแฉ่งเข้ามาพร้อมกับกล่องพิซซ่าถาดใหญ่ในมือ

​"เซอร์ไพรส์!"

​มณีน้ำตาแทบไหล "พี่ศักดิ์! ในที่สุดพี่ก็เข้าใจหัวอกมณีแล้วใช่ไหม!"

​"เปล่าเลยที่รัก" สมศักดิ์ส่ายหน้า "แต่ที่พี่ทำทั้งหมดในสัปดาห์ที่ผ่านมา... ก็เพื่อการนี้แหละ!"

​ว่าแล้วเขาก็เปิดฝากล่องพิซซ่าออก

มันคือพิซซ่าหน้าสลัดผักกับอกไก่ต้มฉีก

​มณีอ้าปากค้าง สมองประมวลผลช้าๆ

​"พี่ไปอ่านเจอในเน็ตมา เขาบอกว่าถ้าเราอดของอร่อยๆ ไปนานๆ พอได้กลับมากินอะไรนิดๆ หน่อยๆ ที่เฮลท์ตี้ เราจะรู้สึกว่ามันอร่อยเหมือนขึ้นสวรรค์" สมศักดิ์อธิบายอย่างภาคภูมิใจ "นี่ไง! พี่ทำลายระบบรับรสของเราเพื่อสร้างมันขึ้นมาใหม่! อาจไม่ถูกใจนัก ที่ฉันทำไป แต่ว่าฉันนั้นทำด้วยรัก...เห็นไหมจ๊ะ อีกหน่อยเธอคงเข้าใจ..."

​สมศักดิ์ยื่นพิซซ่าหน้าอกไก่ต้มให้เมียรักด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความหวังดี

​มณีมองหน้าสมศักดิ์... มองพิซซ่า... แล้วมองหน้าสมศักดิ์สลับไปมา

​เธอลุกขึ้นยืนช้าๆ... เดินไปหยิบกระเป๋าถือ... และกุญแจรถ...

​"มณีจะไปไหนเหรอจ๊ะ" สมศักดิ์ถามอย่างไม่เข้าใจ

​มณีหันกลับมาด้วยรอยยิ้มที่เยือกเย็นที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย

​"อ๋อ... พอดีนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้จ่ายค่าหมูกรอบร้านเจ๊ติ๋มปากซอยน่ะค่ะ" เธอบอก "พี่ศักดิ์คะ...ตอนนี้มณีเข้าใจแล้วค่ะ... เข้าใจว่ามณีควรไปหาโอปป้าที่เกาหลีจริงๆ สักที!"

​เสียงประตูปิดดังปัง! ทิ้งให้สมศักดิ์ยืนถือพิซซ่าหน้าอกไก่ งงงันอยู่กลางบ้าน พร้อมกับเสียงเพลงในหัวที่เปลี่ยนท่อนไปแล้ว...

...เหลือเพียงแต่ฉันกับความเงียบเหงา..

2568/06/07

คู่หูพิทักษ์รั้ว

คู่หูพิทักษ์รั้ว
ณ ประตูรั้วเหล็กดัดสีเทาอมฟ้าแห่งหนึ่ง "พี่กลมซ้าย" และ "น้องกลมขวา" กำลังเข้าเวรยามอย่างแข็งขัน ทั้งสองคือหัวกลมๆ สีขาวที่ถูกเชื่อมติดอยู่กับซี่กรงแนวตั้ง ทำหน้าที่เป็นดั่งดวงตาและผู้พิทักษ์ของบ้านหลังนี้มานานนับปี
"น้องกลมขวา คืนนี้มีอะไรผิดปกติรึเปล่า?" พี่กลมซ้ายเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกในจินตนาการของตัวเอง
"เรียบร้อยดีครับพี่!" น้องกลมขวาตอบกลับอย่างกระตือรือร้น "ท่านพาหนะในผ้าคลุมยังจอดนิ่งสนิทดี ผ้าอ้อม...เอ๊ย! สาส์นลับที่ตากไว้บนราวยังแขวนอยู่ครบทุกชิ้น โดยเฉพาะถุงเท้าสีแดงชิ้นนั้น ผมว่ามันต้องเป็นรหัสลับสุดยอดแน่ๆ!"
พี่กลมซ้ายพยักหน้าอย่างครุ่นคิด "นั่นสิ...สีแดงสดท่ามกลางความมืด อาจเป็นสัญญาณเตือนภัยบางอย่าง"
ทั้งสองจ้องมองเข้าไปในความมืดสลัวหลังรั้ว รถเก๋งคันโปรดของเจ้านายถูกคลุมด้วยผ้าคลุมสีอ่อน มองดูคล้ายภูเขาลึกลับลูกย่อมๆ ที่พวกเขาต้องปกป้อง ส่วนราวตากผ้าด้านหลังนั้นเปรียบเสมือนแผงควบคุมที่แสดงสถานะของบ้าน...ในความคิดของพวกเขา
ทันใดนั้น! มีเงาตะคุ่มหนึ่งเคลื่อนไหวอยู่ที่มุมถนน
"พี่! มีผู้บุกรุก!" น้องกลมขวาร้องเตือน สรรพเสียงในรั้วเงียบกริบ มีเพียงเสียงลมกลางคืนที่พัดหวีดหวิว
เงาดำนั้นค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ มันคือสิ่งมีชีวิตสี่ขา ดวงตาสีเขียวเรืองรองในความมืด มันคือ...แมวจรจัดตัวอ้วนกลมนั่นเอง
"ตั้งรับ! มันกำลังจะทำการจู่โจม!" พี่กลมซ้ายสั่งการ แม้ว่าสิ่งที่ทำได้คือการอยู่นิ่งๆ ก็ตาม
เจ้าแมวอ้วนเดินมาหยุดอยู่หน้าประตูรั้ว มันจ้องมองมาที่พี่กลมซ้ายและน้องกลมขวา สลับกันไปมา ก่อนจะส่งเสียงร้อง "เหมียววว" ที่แฝงไปด้วยเลศนัย (ในความรู้สึกของคู่หูผู้พิทักษ์)
"มันกำลังเยาะเย้ยเรา!" น้องกลมขวากล่าวอย่างเจ็บใจ
เจ้าแมวหาได้สนใจไม่ มันเดินสำรวจไปตามแนวรั้ว ก่อนจะพบช่องว่างเล็กๆ ด้านล่าง แล้วมันก็ค่อยๆ มุดตัวแทรกผ่านเข้ามาในเขตรั้วได้อย่างง่ายดาย
"ไม่นะ! แนวป้องกันถูกทำลายแล้ว!" พี่กลมซ้ายร้องอย่างสิ้นหวัง "เราล้มเหลว!"
แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นอย่างที่คิด เจ้าแมวอ้วนไม่ได้มุ่งตรงไปทำลาย "ท่านพาหนะในผ้าคลุม" หรือขโมย "สาส์นลับ" แต่มันกลับเดินตรงไปที่รถ ค่อยๆ ใช้กรงเล็บเกี่ยวผ้าคลุมปีนขึ้นไปอย่างช่ำชอง ก่อนจะขดตัวเป็นก้อนกลมๆ อยู่บนหลังคารถที่นุ่มอุ่นสบาย แล้วก็เริ่มส่งเสียงคราง "ครืด...ครืด..." ในลำคออย่างมีความสุข
พี่กลมซ้ายและน้องกลมขวามองหน้ากัน (ในจินตนาการ) ความตึงเครียดเมื่อครู่มลายหายไปสิ้น
"ดูเหมือนว่า...ผู้บุกรุกจะกลายมาเป็นผู้อยู่อาศัยแล้วล่ะพี่" น้องกลมขวากล่าวพลางถอนหายใจ
"อืม..." พี่กลมซ้ายตอบ "งั้นภารกิจของเราคืนนี้ก็เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งอย่าง คือต้องดูแลความปลอดภัยให้เจ้าก้อนขนนี่ด้วย"
และแล้ว คืนนั้น...คู่หูพิทักษ์รั้วก็ได้สมาชิกใหม่ภายใต้การคุ้มครองของพวกเขา ท่ามกลางแสงไฟสลัวและเสื้อผ้าที่พริ้วไหวตามลม ภารกิจยามค่ำคืนยังคงดำเนินต่อไปอย่างเงียบเชียบและเปี่ยมสุขกว่าเดิม

2568/01/05

ปีใหม่ในโรงพยาบาล​: บทเรียนสุขภาพจากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอ


ปีใหม่ 2568 นี้ ครอบครัวเราต้องพบกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เมื่ออาม่าและพี่สาวคนโต ล้มป่วยด้วยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอ จนต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ในวันขึ้นปีใหม่
อาการของทั้งคู่ค่อนข้างหนัก ทำให้แพทย์ต้องให้น้ำเกลือเพื่อช่วยบรรเทาอาการ  พี่สาวคนโตโชคดีที่อาการดีขึ้นอย่างรวดเร็ว และได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้ในวันที่ 4 มกราคม แม้จะยังต้องดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวเต็มที่
แต่อาม่านั้นยังคงต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลต่อไป  ผลการเอกซเรย์ปอดยังคงพบฝ้าขาวในปอดด้านซ้าย แม้ปอดด้านขวาจะเริ่มดีขึ้นและการหายใจคล่องขึ้นแล้วก็ตาม  โชคดีที่การเต้นของหัวใจของอาม่า  แม้จะมีผิดจังหวะบ้าง  แต่แพทย์ระบุว่ายังไม่น่ากังวล  และยาที่ให้ทางน้ำเกลือก็ยังคงควบคุมอาการได้ดี คาดว่าอาม่าคงต้องใช้เวลาพักฟื้นที่โรงพยาบาลอีกหลายวัน
เหตุการณ์นี้เป็นเครื่องเตือนใจให้เห็นถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอระบาด  เราควรหมั่นล้างมือ  สวมหน้ากากอนามัย  และหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วย  และที่สำคัญ  หากมีอาการป่วย  ควรพบแพทย์ทันทีเพื่อรับการรักษาที่ถูกต้อง
ขอส่งกำลังใจให้อาม่าหายป่วยโดยเร็ว  และขอให้ทุกคนมีสุขภาพแข็งแรง  ปลอดภัยจากโรคภัยไข้เจ็บตลอดปีใหม่นี้นะครับ