แหล่งรวมกระเบื้องที่มากที่สุดในโลกเลยทีเดียว foshan CITY ,guangzhou
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ จีน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ จีน แสดงบทความทั้งหมด
2559/10/12
2555/01/22
อวยพรตรุษจีน Xin nian Kuai le 新年快樂


新年快樂 xin nian kuai le
ปีใหม่มีความสุข
恭喜发财 gong xi fa cai
ขอให้ร่ำรวย
萬事如意 wan shi ru yi
หมื่นพันเรื่องราวสมดังใจปรารถนา
心想事成 xin xiang shi cheng
เพียงใจคิดเรื่องราวต่างๆก็สำเร็จ
恭賀新禧 gong he xin xi
ให้มีความสุข
恭喜發財 gong xi fa cai
ร่ำรวย มั่งมี
身體健康 shen ti jian kang
ร่างกายแข็งแรง
東成西就 dong cheng xi jiu
ตะวันออกสำเร็จตะวันตกลุล่วง ประมาณว่า จะทำอะไรก็สำเร็จลุล่วง
新正如意 xin zheng ru yi
สมดังปรารถนา
2554/09/05
5 กันยา รำลึก โป๊ยเซียน

เทพเจ้าแห่งโชคลาภ โป๊ยเซียน
คำว่า "โป๊ยเซียน" ในภาษาจีนกลางมีความหมายถึง "เซียนแปดองค์" ตามความเชื่อในลัทธิเต๋าของจีนเป็นเทพเจ้าที่ชาวจีนนับถือมาช้านาน นับเป็นหนึ่งในบรรดาเซียน นับร้อยๆองค์ของจีน แต่เทพทั้งแปดนี้นับว่าเป็นที่รู้จักดีและได้นับการนับถืออย่างกว้างขวางมาก โดยตามศาลเจ้าของหมู่บ้านชาวจีนมักจะมีแท่นบูชาที่ปูด้วยผ้า มีภาพวาดเซียนทั้งแปดรวมเป็นกลุ่มบ้างก็เป็นภาพเซียนนั่งเรือไปยังงานเลี้ยงของพระนางซีอ๋อง (งานเลี้ยงของทวยเทพและเซียนต่างๆ)
สมาชิกทั้ง 8 ในกลุ่มของโป๊ยเซียนนั้นแตกต่างกันไปตามยุคสมัย แต่ปัจจุบันนี้โป๊ยเซียนมีด้วยกันดังนี้ เซียนแต่ละองค์ในบรรดา 8 องค์นี้ มีประวัติที่มาและอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์แตกต่างกันไป ในปัจจุบันทั้งชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนยังนิยมนับถือบูชาโป๊ยเซียนอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะผู้ที่มีอาชีพค้าขาย...
ซึ่งเทพทั้ง 8 องค์นี้ประกอบไปด้วย...
ลือต้งปิง
ลื่อต้งปิงหรีอลื่อโจ้ว เกิดวันที่ 14 เดือนสี่ สมัยราชวงศ์ถัง เป็นคนเฉลียวฉลาดแต่เด็ก เคยไปสอบจิ้นซื่อสองครั้งแต่ก็สอบตก เมื่อทิก๋วยลี้
ทิก๋วยลี้ เดิมแซ่ "หลี่" ชื่อ "เหียน" เกิดยุคชุนชิวเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่สติปัญญาเฉลียวฉลาดหน้าตาดี ไม่ชอบทำมาหากินหรือมีครอบครัวเหมือนชาวบ้าน ชอบทางบำเพ็ญตบะถือศีลกินเจ เห็นว่าอำนาจวาสนา,ลาภยศสรรเสริญ,สมบัติพัสถานล้วนเป็นภาพมายาดุจเมฆหมอกลอย กลางอากาศไม่นานก็จางหายไป เมื่อหลี่เหียนพิจารณาเห็นสัจธรรมเช่นนี้ จึงตัดสินใจสละทางโลกอำลาญาติมิตรไปบำเพ็ญพรตอยู่ในถ้ำ จนสามารถถอดกายทิพย์และจิตวิญญาณออกจากร่างได้ วัน หนึ่งมีนัดต้องไปเข้าเฝ้าลีเลากุนผู้เป็นอาจารย์ที่เขาหัวซัน จึงฝากลูกศิษย์ให้ดูแลร่างเพื่อจะไปแต่กายทิพย์ ส่วนร่างทิ้งไว้ถ้าเกิน 7 วันยังไม่กลับให้เผาร่างได้เลย เมื่อท่านถอดจิตไปแล้ว มารดาของผู้เป็นศิษย์เกิดป่วยหนักคนทางบ้านมาส่งข่าวให้รีบกลับ ศิษย์ไม่อาจทนอยู่เฝ้าร่างได้ จึงนำร่างไปเผาในวันที่ 6 เมื่อท่านกลับมาในวันที่ 7 ไม่พบลูกศิษย์ไม่เห็นร่างของตนก็เข้าใจ และไม่เคืองไม่แยแสอะไร ไปเข้าร่างขอทานขาพิการที่เพิ่งเสียชีวิตร่างใหม่ของท่านจึงขาพิการข้าง หนึ่งดังในรูปทุกวันนี้ เวลาเดินใช้ไม้เท้าเหล็กค้ำคนจึงเรียกท่านว่า "ทิก๋วยลี้"
ฮั่นจงหลี
ฮั่นจงหลี เดิมแซ่ "จงหลี" ชื่อ "ฉวน" มีชีวิตในสมัยฮั่น เลยเรียกกันว่าฮั่นจงหลี เป็นบุตรของแม่ทัพจงหลี จาง วันที่เกิดมีแสงสว่างจ้าไปทั้งจวนแม่ทัพผู้คนตกใจคิดว่าไฟไหม้วิ่งไปยังจวน จะดับไฟ พอไปถึงไม่เห็นมีอะไรมีแต่ฮูหยินภรรยาแม่ทัพคลอดบุตรเป็นชาย มีลักษณะดีผิดแผกเด็กทั่วไป เมื่อโตขึ้นได้ไต่เต้าเป็นแม่ทัพ คราวหนึ่งนำทัพไปปราบกบฏคนฮวนเกิดพ่ายศึกยับเยิน ตัวเขาหนีรอดคนเดียวเข้าไปในหุบเขาได้พบกับนักพรตชราว่ากันว่าคือ ทิก้วยลี ได้รับถ่ายทอดเคล็ดบำเพ็ญธรรมต่อมาได้บำเพ็ญเพียรจนสำเร็จเป็นเซียนในที่สุด
อายุ ได้ 64 ก็ท่องเที่ยวพเนจรไปทั่ว ระหว่างพักโรงเตี๊ยมเมืองหันเอ้อได้พบกับอาจารย์ฮั่นจงหลีทั้งสองสนทนา เรื่องธรรมะถูกอัธยาศัย ลื่อต้งปิงถอนใจว่าชีวิตช่างอาภัพสอบจิ้นซื่อไม่ได้สักครั้งฮั่นจงหลีเอา หมอนในย่ามยื่นให้พร้อมกล่าวว่า "เจ้าจงหนุนหมอนใบนี้ จะทำให้ทุกอย่างสมหวัง" ลื่อต้งจึงหนุนหมอนหลับไม่รู้ตัว ขณะนั้นเจ้าของโรงเตี๊ยมกำลังนึ่งข้าวเกาเหลียงอยู่ ลื่อต้งปิงได้ฝันเห็นอนาคตว่าชั่วครู่เดียวชีวิตขึ้นๆลงๆเปลี่ยนแปลงมากมาย ตั้งแต่สอบได้จิ้นซื่อเป็นนายอำเภอเมืองลั่วหยังได้เลื่อนตำแหน่งหลาย ครั้งกระทั่งเป็นแม่ทัพรบชนะข้าศึก มีอำนาจวาสนามั่งมีศรีสุข 50 ปี เป็นอัครมหาเสนาบดี 10 ปีต่อมาถูกปลดออกจากตำแหน่งชีวิตต้องตกระกำลำบาก
เมื่อตื่นขึ้นฮั่นจงหลีกล่าวว่าเกาเหลียงยังไม่สุกฝันจบชั่วชีวิต ลื่อต้งปิงแปลกใจที่อาจารย์รู้ความฝัน ฮั่นจงหลีว่าชีวิตงคนก็เป็นเช่นนี้แหละ ลื่อต้งปิงจึงปลงตกละกิเลสขอปวารณาเป็นศิษย์ ฮั่นจงหลีได้นำลื่อต้งปิงไปบำเพ็ญเพียร ที่เขานกกระเรียนและถ่ายทอดเคล็ดลับให้จนสำเร็จเป็นเซียนในเวลาต่อมา
เหอเซียนโกว
เหอเซียนโกว เดิมชื่อ "ฮ่อค้วง" เป็นนางฟ้าหนึ่งเดียวในคณะแปดเซียน เกิดในสมัยราชวงศ์ถังเป็นชาวเมืองกวงโจว เป็นคนใจบุญและฉลาด วันหนึ่งได้พบกับเซียน ลื่อต้งปิง เซียนเห็นนางและส่งผลท้อให้เมื่อกินผลท้อนั้นแล้วก็ไม่รู้สึกหิวอีก และยังสามารถทำนายทายทักโชคชะตาของคนอื่น คืนวันหนึ่งเทพยดาได้มาเข้าฝันบอกให้นางกินแป้งฮุนบ้อ ทำให้ตัวเบาและไม่ตาย เมื่อตื่นขึ้นนางก็ลองทำตามในฝัน หลังจากกินแป้งฮุนบ้อแล้วปรากฏว่าตัวเบาเคลื่อนไหวได้คล่องแคล่วกว่าปกติ หลังจากนั้นมักขึ้นเขาลงเขาอยู่เสมอขากลับยังนำผลไม้ต่างๆมาฝากมารดาเป็นประจำ ต่อมาข่าวลอยไปถึงในวังพระนางบูเช็กเทียนได้ส่งคนไปเชิญมาเข้าเฝ้า ระหว่างทางปรากฏว่านางหายตัวไป คณะเชิญค้นหาเท่าใดก็ไม่พบ ปรากฏภายหลังว่ามีคนเห็นนางขี่เมฆลอยอยู่บนฟ้าจึงรู้ว่าได้สำเร็จเป็นเซียนไปแล้ว
จางกั๋วเหล่า
ตำนานหนึ่งว่า จางกั๋วเหล่า เป็นคนสมัยถังเป็นนักพรตจำศีลภาวนาที่จงเถียวซัน ไปไหนมาไหนมักจะขี่ลาเผือกกลับหัวโดยหันหน้าไปทางหางลาเป็นปริศนาธรรมลานี้เป็นลาวิเศษ เวลาไม่ใช้สามารถเก็บพับใส่ในกระเป๋าดั่งกระดาษ เวลาจะขี่เอาน้ำพ่นกลายเป็นลาดังเดิม อีกตำนานหนึ่งก็ว่าในสมัยดึกดำบรรพ์มีพญาค้างคาวเผือก ตัวหนึ่งได้จำศีลบำเพ็ญเพียรอยู่ในถ้ำจนสำเร็จเป็นเซียน ได้กลายร่างเป็นชายชราผิวพรรณผ่องใสแข็งแรงคือจางกั๋วเหล่านั่นเอง
หลันไฉ่เหอ
หลันไฉ่เหอ เป็นคนสมัยฮั่นชอบใส่เสื้อผ้าขาดใส่รองเท้าข้างเดียวถือกรับไม้ยาวฟุตเศษ เที่ยวเดินร้องเพลงขอทานเรื่อยไปเพลงที่ร้องมีเนื้อเพลงเป็นคติเตือนใจคน เมื่อได้เงินก็เอามาร้อยเป็นพวงแล้ววิ่งลากไปตามถนนเชือกขาดเงินหลุดหล่นหายไปก็ไม่สนใจ มีเงินเหลือกินก็นำไปแจกจ่ายแก่คนยากจนหน้าร้อนใส่เสื้อหนา หน้าหนาว หิมะตกกลับใส่เสื้อตัวเดียวนอนบนหิมะ ต่อมา ทิก๋วยลี้ และ ฮั่นจงหลี ได้มาชวนไปบำเพียรเพียรจนสำเร็จเป็นเซียน
หันเซียงจื่อ
หันเซียงจื่อ สมญานาม ชิงฟู เกิดในสมัยถัง วันที่ 10 เดือนสิบ พ.ศ. 1320 กำพร้าพ่อแม่แต่เด็กอาศัยอยู่กับหันยู่ผู้เป็นอาซึ่งเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ นิสัยรักสันโดษชอบปลีกวิเวก วันหนึ่งท่านลื่อโจ้วได้มาโปรดจนบำเพ็ญสำเร็จเป็นเซียน หันเซียงจื่อ ยังกตัญญูโปรดหันยู่ให้ละทิ้งตำแหน่งขุนนางมาบำเพ็ญธรรมใช้เวลาถึง 9 ปี จึงโปรด สำเร็จ
เชาก๊กกู๋
เชาก๊กกู๋ เดิมชื่อ เชาจิ่งซิว เป็นน้องชายของพระราชินีเชาฮองเฮา แห่งราชวงศ์ซ่ง เชาก๊กกู๋เป็นคนเที่ยงตรง มีเมตตารักสงบไม่ชอบความโก้หรู เนื่องจากละอายที่เชายี น้องชายถืออำนาจพี่สาวเที่ยวก่อกรรมทำชั่วจนถูกท่านเปาตัดสินประหารชีวิต จึงตัดสินใจขึ้นเขาบำเพ็ญเพียรต่อมาเขาได้พบกับ ฮั่นจงหลี และ ลื่อต้งปิง ลื่อต้งปิงถามว่าได้ข่าวว่าท่านบำเพ็ญธรรม ธรรมที่ท่านบำเพ็ญอยู่ที่ใดเชาก๊กกู๋ชี้นิ้วขึ้นฟ้า ลื่อต้งปิง ถามอีกว่า ฟ้าอยู่ที่ใดเชาก๊กกู๋ก็ชี้ที่หัวใจ ฮั่นจงหลีหัวเราะแล้วพูดว่า "ใจก็คือฟ้า ฟ้าก็คือใจ" บัดนี้ท่านค้นพบตัวเองแล้ว จากนั้นเซียนทั้งสองจึงถ่ายทอดมรรควิธีแก่ เชาก๊กกู๋ จนบำเพ็ญสำเร็จเป็นเซียนในที่สุด
เทพเจ้าจงเขว่ย ผู้ปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย
จงเขว่ย หรือ จง เขว่ย(หรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า Zhong Kui) เป็นเทพกึ่งปีศาจในตำนานเทพของจีน เชื่อกันว่าจงเขว่ยเป็นผู้กำราบปีศาจร้าย และมักจะวาดภาพจงเขว่ยไว้ที่หน้าประตูเพื่อให้เป็นผู้ปกปักษ์คุ้มครองบ้าน
ตามตำนานของจีน เล่าว่าจงเขว่ยเป็นชายหนุ่มมีความรู้ดีแต่หน้าตาอัปลักษณ์ เขาเดินทางไปกับตู้ผิงเพื่อนคนหนซึ่งเป็นคนบ้านเดียวกัน เพื่อเข้าสอบรับราชการเป็นบัณฑิตที่เรียกว่าจอหงวนในเมืองหลวง แม้ว่าจงเขว่ยจะสอบได้คะแนนสูงสุดแต่ฮ่องเต้ก็มิได้ประทานตำแหน่งจอหงวนให้ เพราะจงเขว่ยมีรูปร่างหน้าตาที่น่าเกลียดนั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนี้จงเขว่ยจึงโกรธและน้อยใจอย่างยิ่ง และฆ่าตัวตายที่บันไดพระราชวังนั่นเอง ส่วนตู้ผิงก็ช่วยทำศพเพื่อน ครั้นเมื่อตายไปแล้วจงเขว่ยได้เป็นราชาแห่งปิศาจในนรก และจะกลับบ้านเกิดในช่วงปีใหม่ (นั่นก็คือช่วง ตรุษจีนนั่นเอง) นอกจากนี้ยังได้ตอบแทนความมีน้ำใจของตู้ผิง โดยการมอบน้องสาวของเขาให้แต่งงานกับตู้ผิง
เรื่องราวของจงเขว่ยนั้นเป็นที่รู้จักกันดีในนิทานพื้นบ้านของจีน ตั้งแต่สมัยจักรพรรดิเสวียนจงในราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 712 ถึง 756) จากเอกสารในสมัยราชวงศ์ซ่ง ระบุว่าเมื่อจักรพรรดิเสวียนจงทรงพระประชวรหนักทรงพระสุบินเห็นปิศาจสองตน ตนเล็กขโมยถุงเงินไปจากพระสนมนามว่าหยางกุ้ยเฟย และขลุ่ยขององค์จักรพรรดิส่วน ปิศาจคนใหญ่นั้นสวมหมวกขุนนางมาจับปิศาจตนเล็กและดึงลูกตาออกมากินเสีย จากนั้นปิศาจตนใหญ่ก็แนะนำตนว่าชื่อจงเขว่ย และบอกว่าตนได้สาบานที่จะกำจัดอาณาจักรแห่งความชั่วร้าย เมื่อจักรพรรดิตื่นบรรทมก็ทรงหายจากอาการประชวร จากนั้นได้มีบัญชาให้นายช่างหลวง ชื่อ อู่ เต้าจื่อ วาดภาพจงเขว่ยให้เหล่าขุนนางได้ดูซึ่งภาพดังกล่าวมีอิทธิพลอย่างมากต่อภาพ วาดจงเขว่ยในสมัยต่อๆ มา
เรียบเรียงจาก
thai.mindcyber.com
http://th.wikipedia.org
2554/09/03
ขงเบ้ง สอนไว้ จำให้ดี

*อ่านคนออก บอกคนได้ ใช้คนเป็น *
*เมื่อนักการทูตพูดว่า "ใช่ หรือ อาจจะ" เขามีความหมายว่า "อาจจะ" เมื่อนักการทูตพูดว่า "อาจจะ" เขามีความหมายว่า "ไม่" เมื่อนักการทูตพูดว่า "ไม่" เขาไม่ใช่นักการทูต เพราะนักการทูตที่ดีจะไม่ปฏิเสธใคร *
*เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "ไม่" หล่อนมีความหมายว่า "อาจจะ" เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "อาจจะ" หล่อนมีความหมายว่า "ใช่ หรือ ได้" เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "ใช่ หรือ ได้" หล่อนไม่ใช่สุภาพสตรี *
*คิดทำการใหญ่ อย่าสนใจเรื่องเล็กน้อย*
*ตาสามารถมองเห็นสิ่งที่ไกลได้ แต่ไม่สามารถ มองเห็นคิ้วของตน คนส่วนใหญ่ใส่ใจกับผลได้ระยะสั้นเท่านั้น แต่คนฉลาดอย่างแท้จริงจะมองไป ยังอนาคต*
*อำนาจที่ปราศจากเหตุผล คือ อำนาจของคนพาล อำนาจที่ปราศจากความเมตตา คือ อำนาจที่นำมาซึ่งความปราชัย*
*ยามเรืองรุ่งพุ่งเปรี้ยงดุจเสียงฟ้า แม้เทวายังสยบหลบทางให้ จะหยิบดาวเดือนชมก็สมใจ คงร้องให้วันหนึ่งแน่ คราวแพ้มี *
*ตัดไผ่อย่าไว้หน่อ ฆ่าพ่ออย่าเหลือลูก คิดทำการใหญ่ ใจคอต้องเหี้ยมหาญ *
*ข้าพเจ้ายอมทรยศต่อคนทั้งโลก ดีกว่าให้คนในโลกทรยศต่อข้าพเจ้า *
*เป็นแม่ทัพแล้วไม่กล้าตัดหัวคน เป็นแม่ทัพที่ดีไม่ได้*
*คนฉลาดปราดเปรื่อง เขานั่งนิ่งสงวนคม *
*ไม่มีใครเลี้ยงอาหารใครเปล่า ๆ โดยไม่หวังผลประโยชน์ตอบแทน *
*ศัตรูที่ร้ายเหลือ ไม่เท่าเกลือเป็นหนอน *
*ความรู้ คือ อำนาจ *
*นั่งภูดูเสือ กัดกัน*
*เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมียอดคน ฉะนั้นจึงอย่าประมาท *
*ถ้าเป็นกษัตริย์ แล้ว ไม่โลภ ก็ เป็นกษัตริย์ ที่ดีไม่ได้ ถ้าเป็นนักบวชแล้วโลภ ก็ เป็นนักบวช ที่ดีไม่ได้ *
*น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำฉันใด เราก็กลายเป็นคนฉลาดในช่วงเวลาลำบากฉันนั้น*
*ดวงอาทิตย์ทำให้ทุกสิ่งกระจ่างชัด แต่ เรายังต้องทำความเข้าใจในส่วนที่มืด ซึ่งยังคงดำรงอยู่ *
2554/08/03
เพลงละครเจ้าพ่อเซียงไฮ้ ทำไมคนถึงจำติงลี่ได้
เพลง
Even if there's no future(就算没有明天)-Huang Xiao-ming(黄晓明)
Pinyin(Part 1.) Yong yuan you duo yuan. Wo xin yi pi juan. Zhi tan yuan fen tai qian. Meng bu neng yuan. Zai yong bao
yi bian. Na pa shi shun jian. Ting ge de hua mian. Neng bu neng,di kang si nian. Wo men zhi jian. Hui bu hui you ming
tian. Chi re de chan mian. Neng fou chong xin shang yan.
Pinyin(Part 2.) Jiu suan tian yi bian. Cang hai cheng sang tian. Na xie shi yan. Hai zai ren shi liu lian. Wo men zhi jian.
Jiu suan mei you ming tian. Hui yi zai ming xian. Zhong jiu xiao san cheng yun yan. Yong qing chun rong yan. Qu jiao
huan ai lian. Wo ye qing yuan. Wu hui wu yuan.
Pinyin(Part 3.) Yong yuan you duo yuan. Wo xin yi pi juan. Zhi tan yuan fen tai qian. Meng bu neng yuan. Zai yong bao
yi bian. Na pa shi shun jian. Ting ge de hua mian. Neng bu neng,di kang si nian. Wo men zhi jian. Hui bu hui you ming
tian. Chi re de chan mian. Neng fou chong xin shang yan.
Pinyin(Part 4.) Jiu suan tian yi bian. Cang hai cheng sang tian. Na xie shi yan. Hai zai ren shi liu lian. Wo men zhi jian.
Jiu suan mei you ming tian. Hui yi zai ming xian. Zhong jiu xiao san cheng yun yan. Yong qing chun rong yan. Qu jiao
huan ai lian. Wo ye qing yuan. Wo men zhi jian. Hui bu hui you ming tian.
****************************************
เกริ่นไว้ด้านบน เพราะว่า ติงลี่ ไม่ใช่พระเอก
แต่เป็นตัวเอก..ที่รู้จักชีวิต และซื่อสัตย์ กตัญญูต่อแม่ และเข้าใจเพืื่อน พร้อมกับมีความรักที่มั่นคงต่อนางเอก
****************************************
歌词
孙:永远有多远 我心已疲倦
只叹缘分 太浅 梦不能圆
黄:再拥抱一遍 哪怕是瞬间
停格的画面 能不能 抵抗思念
孙:我们之间会不会有明天
炽热的缠绵 能否重新上演
就算天意变 沧海成桑田
那些誓言 还在人世流连
黄:我们之间就算没有明天
回忆再明显 终究消散成云烟
用青春容颜 去交换爱恋
我也情愿
合:我们之间会不会有明天
黄:炽热的缠绵 能否(孙:ha..)
合:重新上演 就算天意变
黄:沧海成桑田 那些誓言
合:还在人世流连
合:我们之间就算没有明天
黄:回忆再明显 终究(孙:ha...)
合:消散成云烟
黄:用青春容颜 去交换爱恋
我也情愿
孙:我也情愿
合:无悔无怨
2552/03/08
หวนอดีต "แสงชัยพานิช"
เดิมครอบครัวของข้าพเจ้าเปิดร้านค้าขายของชำ หรือที่เรียกกันว่า “โชว์ห่วย” นับว่าเป็นร้านค้าเล็กๆ 2 คูหา บนถนนดินแดง คุณพ่อใช้ชื่อร้านว่า “แสงชัยพานิช” ซึ่งเป็นการอ่านออกเสียงจากคำว่า “เส็งไช” ในภาษาจีนแต้จิ๋ว ร้านแห่งนี้เปิดเมื่อ ปี พ.ศ.2518 ข้าพเจ้ามีอายุได้เพียง 1 ขวบกว่าๆ ภาพที่ข้าพเจ้าเห็นบ่อยๆ คือ ป๊าป๊า และ ม๊าม๊า ขายของตั้งแต่ข้าวสาร ของใช้ในครัว และ ของใช้ในชีวิตประจำวัน ตลอดจนขนมปัง เบเกอรี่ ท่านทั้ง 2 ทำธุรกิจนี้ และเลี้ยงดูข้าพเจ้ากับพี่ๆ อีก 6 คน จนจบการศึกษาและแยกย้ายกันไปมีครอบครัว เมื่อข้าพเจ้าโตพอที่จะช่วยชายของได้ ข้าพเจ้าก็เริ่มช่วยขายของ โดยการหยิบของเล็กๆ น้อยๆ ส่งของ เรียงของเข้าตู้ หรือเข้าชั้นขายสินค้า ตามช่วงวันหยุด และเวลาที่ปิดเทอม
ช่วงปิดเทอมในวัยเด็กของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจำได้ว่าอยากได้ของเล่นสักชิ้นหนึ่ง แต่ป๊าๆ ได้บอกว่าให้ข้าพเจ้า ช่วยขายสินค้า แล้วนำเงินที่ได้จากการกำไรสินค้านั้นๆ รวบรวมแล้วไปซื้อของเล่นที่อยากได้ ขณะนั้นข้าพเจ้าก็มีความสงสัยว่า ? ทำไมป๊าๆ ถึงไม่ให้นำเงินทั้งหมดที่ขายได้ไปซื้อละ ทำไมให้แค่กำไรที่จะนำไปซื้อของเล่น?? แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ถามอะไรมากนัก ก็ลงมือเริ่มขายของที่ร้านทุกวัน ตั้งแต่ 10 โมง จนถึง 6 โมงเย็น
ข้าพเจ้ามีสมุดเล็กๆ ไว้สำหรับจดยอดกำไรที่ข้าพเจ้าได้รับในแต่ละครั้งที่ข้าพเจ้าขายสินค้าได้ เวลาที่ขายสินค้าได้ ก็จะไปถามพี่สาวคนโต หรือป๊าๆ ว่าได้กำไรเท่าไร แล้วก็จดลงไปในสมุด มีอยู่ครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าก็ตะโกนถามออกมาว่า
“ป๊า ขนมปังนี้กำไรเท่าไรครับ ผมจะจดลงสมุด”
ขณะนั้นลูกค้ายังอยู่ในร้านแล้วก็ทำหน้างงๆ แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้สนใจว่าเขาทำหน้าอย่างนั้นทำไม
ป๊าๆ ก็เดินมาบอกกับลูกค้าว่า “ลูกจะซื้อของเล่น อั๊วก็เลยให้มาช่วยขายของ เก็บเงินไว้ไปซื้อของเล่นชิ้นนั้น”
ลูกค้าก็ยิ้มๆ แล้วบอกว่า “ดีจัง ขยันเขานะหนู” แล้วก็เดินออกไปจากร้าน
หลังจากนั้นสักพักป๊าๆ ก็เข้ามาบอกว่าครั้งต่อไป รอให้ลูกค้าออกไปก่อนแล้วค่อยถามและให้ใช้เสียงเบาๆ ด้วย เดี๋ยวลูกค้าเขาจะตกใจ ห้ามตะโกนถามแบบนี้อีกนะ
ช่วงปิดเทอมในวัยเด็กของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจำได้ว่าอยากได้ของเล่นสักชิ้นหนึ่ง แต่ป๊าๆ ได้บอกว่าให้ข้าพเจ้า ช่วยขายสินค้า แล้วนำเงินที่ได้จากการกำไรสินค้านั้นๆ รวบรวมแล้วไปซื้อของเล่นที่อยากได้ ขณะนั้นข้าพเจ้าก็มีความสงสัยว่า ? ทำไมป๊าๆ ถึงไม่ให้นำเงินทั้งหมดที่ขายได้ไปซื้อละ ทำไมให้แค่กำไรที่จะนำไปซื้อของเล่น?? แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ถามอะไรมากนัก ก็ลงมือเริ่มขายของที่ร้านทุกวัน ตั้งแต่ 10 โมง จนถึง 6 โมงเย็น
ข้าพเจ้ามีสมุดเล็กๆ ไว้สำหรับจดยอดกำไรที่ข้าพเจ้าได้รับในแต่ละครั้งที่ข้าพเจ้าขายสินค้าได้ เวลาที่ขายสินค้าได้ ก็จะไปถามพี่สาวคนโต หรือป๊าๆ ว่าได้กำไรเท่าไร แล้วก็จดลงไปในสมุด มีอยู่ครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าก็ตะโกนถามออกมาว่า
“ป๊า ขนมปังนี้กำไรเท่าไรครับ ผมจะจดลงสมุด”
ขณะนั้นลูกค้ายังอยู่ในร้านแล้วก็ทำหน้างงๆ แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้สนใจว่าเขาทำหน้าอย่างนั้นทำไม
ป๊าๆ ก็เดินมาบอกกับลูกค้าว่า “ลูกจะซื้อของเล่น อั๊วก็เลยให้มาช่วยขายของ เก็บเงินไว้ไปซื้อของเล่นชิ้นนั้น”
ลูกค้าก็ยิ้มๆ แล้วบอกว่า “ดีจัง ขยันเขานะหนู” แล้วก็เดินออกไปจากร้าน
หลังจากนั้นสักพักป๊าๆ ก็เข้ามาบอกว่าครั้งต่อไป รอให้ลูกค้าออกไปก่อนแล้วค่อยถามและให้ใช้เสียงเบาๆ ด้วย เดี๋ยวลูกค้าเขาจะตกใจ ห้ามตะโกนถามแบบนี้อีกนะ

หลังจากที่ข้าพเจ้าอยู่ช่วยขายของไปได้สักระยะหนึ่ง ก็เริ่มสงสัย และคิดว่าทำไมเราไม่ขายนมผงกระป๋องนี้ ในราคาเต็มไปเลย คือ 132 บาท ก็จะทำให้เราได้กำไรเพิ่มขึ้นอีก 7 บาท ทำให้ในครั้งต่อไปข้าพเจ้าก็ได้ขายนมกระป๋องกับลูกค้าอีกคนหนึ่ง ในราคา 130 บาท แต่ปรากฏว่าลูกค้าเขาก็สงสัยและถามกลับว่า “อ้าว ?? ไม่ใช่ 125 บาท หรือจ้ะ?? เคยซื้ออยู่ราคานี้นะ”
ข้าพเจ้าก็ตอบกลับว่า “ไม่ได้ครับ”
“ลองไปถามป๊าๆ ดูสิ” ลูกค้าตอบกลับ
ทำให้ข้าพเจ้าต้องเดินไปถามป๊าๆ พร้อมกับหยิบนมกระป๋องนั้น ไปถาม “ป๊าๆ อันนี้เท่าไรครับ”
ป๊าๆ ก็มองดูที่ใต้กระป๋องที่มีโค้ดภาษาจีนอยู่ แล้วบอกว่า “125 บาท” ข้าพเจ้าก็หยิบนมกระป๋องใส่ถุงหิ้วให้กับลูกค้า
เย็นวันนั้น ขณะกำลังนั่งกินข้าวเย็นกับป๊าๆ ป๊าก็ถามว่า “ลูกค้ามาซื้อของที่ร้านเราบอ่ยๆ เป็นเพราะอะไรรู้ไหม?”
“ไม่รู้ครับ”
“เป็นเพราะร้านของเราขายสินค้าราคาไม่แพง และมีของให้เลือกเยอะ ลูกค้าจึงกลับมาซื้อกลับเราบ่อยๆ อย่างเช่น นมกระป๋องที่วันนี้ขายไปนั้น ถ้าเราขาย 130 บาท จริงอยู่ที่จะได้กำไรมากถึง 20 บาท แต่ถ้าลูกค้ากินหมดแล้ว และไปซื้อร้านอื่น เราก็จะเสียลูกค้า และไม่ได้เงินจากเขาอีกนะ ในกรณีถ้าเราขายแค่ 125 บาท ได้กำไรแค่ 15 บาท แล้วลูกค้ากลับมาซื้ออีกครั้ง ก็จะทำให้เรามีกำไรอีก 15 บาท เป็นเท่าไรรู้ไหม?” ป๊าๆ ถามกลับ
“เป็น 30 บาทครับ” ข้าพเจ้าตอบ
“เห็นไหมว่ามันเยอะกว่าในตอนแรกที่เราได้แค่ 20 บาท ดังนั้นพ่อค้าอย่างเรา ควรมีคุณธรรมและจริยธรรมในการค้าขาย ให้มีกำไรแต่พอดี ไม่เอาเปรียบลูกค้า ซึ่งควรจะยึดหลักอิทธิบาท 4 คือ
· ฉันทะ คือ ความพอใจ ในฐานะเราเป็นพ่อค้าร้านขายของ มีกำไรพอเลี้ยงตัวเอง และชอบในการขายสินค้าให้ลูกค้า
· วิริยะ คือ ความพากเพียร ขยัน ทำมาหากิน ไม่ขาดตอนเป็นระยะเวลายาวนานเหมือนที่เปิดร้านให้ลูกค้ามาซื้อของตลอด 7 วันไม่มีหยุด
· จิตตะ คือ ความใส่ใจ ไม่ทอดทิ้งร้าน และทำด้วยใจจดจ่อ โดยสนใจในตัวลูกค้าและสินค้าที่ขาย
· วิมังสา คือ การแสวงหาความรู้เพิ่มเติม และทำให้ร้านค้าพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ ตลอดเวลา
เหตุการณ์ในช่วงที่ข้าพเจ้าขายของ เพื่อเก็บกำไรมาซื้อของที่ข้าพเจ้าต้องการนั้น ทำให้ข้าพเจ้าได้เรียนรู้อะไรเพิ่มเติมมากกว่าการบวก ลบ ตัวเลขธรรมดา และมุ่งหวังแต่กำไรเยอะๆ แต่ข้าพเจ้าได้เข้าใจว่าการเป็นพ่อค้านั้น จะต้องยึดถือคุณธรรมและมีจริยธรรมในการค้าขายอีกด้วย ซึ่งข้าพเจ้าก็ยึดถือและนำมาปฏิบัติในแต่ละช่วงเวลาของชีวิตข้าพเจ้า ในปัจจุบันข้าพเจ้าได้มีโอกาสนั่งสมาธิกับเพื่อนๆ ทำให้ข้าพเจ้าได้เข้าใจถึง คุณธรรมของพรหมวิหาร 4
· เมตตา คือ ความรักความปรารถนาดีที่ให้เพื่อนร่วมงาน หรือผู้อื่นมีความสุข
· กรุณา คือ ความสงสาร เห็นใจปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นความทุกข์
· มุทิตา คือ ความรู้สึกพลอยชื่นชมยินดีเมื่อเพื่อนร่วมงาน หรือผู้อื่นได้ดี เจริญก้าวหน้า
· อุเบกขา คือ ความรู้สึกวางเฉย โดยปราศจากอคติ หรือสิ่งที่มายั่วยวน
หลักธรรมหรือคุณธรรม เหล่านี้พยายามนำมาใช้ในแต่ละช่วงเวลาที่ข้าพเจ้าทำงาน ทำให้ข้าพเจ้าทำงานได้อย่างมีความสุขมากขึ้น แม้ว่าในบางช่วงเวลาอาจจะหลงลืม หรือ มัวแต่จมอยู่กับปัญหา หรืองานที่รุ่มเร้าเข้ามาในบางช่วงเวลาของชีวิต แต่ถ้าเรามีสติ หรือมีสมาธิก็สามารถฟันฝ่าปัญหาหรืองานต่างๆ ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)