โบสถ์สวยและรูปนักบุญเยอะดี...
อยู่ใกล้อารามคาแมลเดิม
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ นักบุญ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ นักบุญ แสดงบทความทั้งหมด
2559/07/16
2559/04/30
วัดคาทอลิก นักบุญโทมัส ป่าละอู
และแล้วพวกเราก็ได้แวะไปไหว้ขอพร ณ วัดนักบุญโทมัส ป่าละอู จ.ประจวบฯ
กว่าจะวนรถหาเจอได้ก็นานพอสมควร...เข้าไปถึงก็เจอคุณป้ามาช่วยเปิดวัดและเปิดปั้มน้ำให้พวกเราได้ใช้บริการห้องน้ำของวัด
ตัวอาคารก่อด้วยปูนแล้วทาสีน้ำตาล.พื้นโดยรอบวัดเป็นไม้ และปูกรเบื้องดินเผาสีเทอราคอตต้า
ภายในอาคารปูด้วยกระเบื้องแกรนิตโต 60*60 และมีพัดลมข้างผนังช่วยระบายอากาศ
บนพระแท่นเรียบง่ายมีไม้กางเขนตรงกลาง
มีรูปพระเยซูเอียงคอ ชี้ไปที่แผล...ซึ่งเป็นรูปที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก...อาจจะเป็นเพราะนักบุญโทมัสตอนที่เจอพระเยซูกลับฟื้นคืนชีพแล้วท่านไม่เชื่อว่าเป็นพระเยซู พระเยซูเลยชี้ที่บาดแผลและทำให้โทมัสเชื่อ...
วัดแห่งนี้เป็นวัดที่สร้างขึ้นบนที่ดินของคุณป้าที่มีบ้านอยู่ข้างๆวัดนี้เอง...เป็นวัดเล็กๆที่มีมิสซาเฉพาะวันอาทิตย์ และฉลลองวัดประจำปีเท่านั้น...
ดูแผนที่ได้ตามนี้
https://www.google.co.th/maps/place/12%C2%B033'49.1%22N+99%C2%B031'44.1%22E/@12.5637168,99.5284904,134m/data=!3m1!1e3!4m6!3m5!1s0x30fc60bdd31e9571:0x82158879b7c8ae74!7e2!8m2!3d12.5636474!4d99.5289187
กว่าจะวนรถหาเจอได้ก็นานพอสมควร...เข้าไปถึงก็เจอคุณป้ามาช่วยเปิดวัดและเปิดปั้มน้ำให้พวกเราได้ใช้บริการห้องน้ำของวัด
ตัวอาคารก่อด้วยปูนแล้วทาสีน้ำตาล.พื้นโดยรอบวัดเป็นไม้ และปูกรเบื้องดินเผาสีเทอราคอตต้า
ภายในอาคารปูด้วยกระเบื้องแกรนิตโต 60*60 และมีพัดลมข้างผนังช่วยระบายอากาศ
บนพระแท่นเรียบง่ายมีไม้กางเขนตรงกลาง
มีรูปพระเยซูเอียงคอ ชี้ไปที่แผล...ซึ่งเป็นรูปที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก...อาจจะเป็นเพราะนักบุญโทมัสตอนที่เจอพระเยซูกลับฟื้นคืนชีพแล้วท่านไม่เชื่อว่าเป็นพระเยซู พระเยซูเลยชี้ที่บาดแผลและทำให้โทมัสเชื่อ...
วัดแห่งนี้เป็นวัดที่สร้างขึ้นบนที่ดินของคุณป้าที่มีบ้านอยู่ข้างๆวัดนี้เอง...เป็นวัดเล็กๆที่มีมิสซาเฉพาะวันอาทิตย์ และฉลลองวัดประจำปีเท่านั้น...
ดูแผนที่ได้ตามนี้
https://www.google.co.th/maps/place/12%C2%B033'49.1%22N+99%C2%B031'44.1%22E/@12.5637168,99.5284904,134m/data=!3m1!1e3!4m6!3m5!1s0x30fc60bdd31e9571:0x82158879b7c8ae74!7e2!8m2!3d12.5636474!4d99.5289187
2555/06/23
แผนที่ วัดคาทอลิก ดอนกระเบื้อง (วัดอัครเทวดามีคาแอล)
ดู Church วัดคาทอลิก จ.ราชบุรี ในแผนที่ขนาดใหญ่กว่า
วันนี้จะพาท่านไปรู้จักกับ “วัดคาทอลิกดอนกระเบื้อง” ต.ดอนกระเบื้อง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ซึ่งจะเป็นคนละที่กับ "วัดดอนกระเบื้อง(วัดพุทธ)" ต.ดอนกระเบื้อง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี หลายคนอาจจะสับสน เพราะวัดทั้งสองตั้งอยู่ในตำบลเดียวกันติดชายแดนระหว่างบ้านโป่ง กับโพธาราม เหมือนกัน วัดคริสต์แห่งแรกของอำเภอบ้านโป่ง ชื่อเต็มๆ ว่า
"วัดอัครเทวดามีคาแอล"
ในปี พ.ศ.2378 สิบปีต่อมาในปี พ.ศ.2388 บาทหลวงอัลบรังค์ ประจำอยู่ที่วัดกาลหว่าร์ กรุงเทพ ได้เยี่ยมกลุ่มคริสตชนที่คลองสี่หมื่นบางนกแขวกแล้ว มักจะกลับกรุงเทพ โดยใช้เส้นทางตามลำน้ำแม่กลองขึ้นไปทางตอนเหนือผ่าน ดอนกระเบื้อง บ้านโป่ง ลูกแก กาญจนบุรี รวมทั้งนครปฐม และได้เดินทางมาพบและโปรดศีลล้างบาปให้กับครอบครัวนี้ จนในปี พ.ศ.2393 จึงมีการตั้งกลุ่มคริสตชนที่ดอนกระเบื้อง สังกัดอยู่ในความดูแลของพระสงฆ์ที่มาจากบางนกแขวก หลังจากนั้น 6 ปี คือ พ.ศ.2399 กลุ่มคริสตชนดอนกระเบื้องได้ร่วมกันสร้างวัดเล็กๆขึ้นด้วยไม่ไผ่ (วัดหลังแรก) และถวายอยู่ในความอุปถัมป์ของนักบุญมีคาแอล ตั้งแต่นั้นมาคริสตชนที่ดอนกระเบื้องก็ได้เพิ่มจำนวนมากขึ้นทีละเล็กละน้อยตามลำดับ โดยมีคุณพ่อจิน พระสงฆ์ชาวจีนเป็นเจ้าอาวาสองค์แรกของวัดดอนกระเบื้อง เมื่อจำนวนคริสตชนที่ดอนกระเบื้องนี้ได้เพิ่มขึ้นมาก จึงได้สร้างวัดหลังใหม่ขึ้น ในปี พ.ศ.2407 เนื่องจากเป็นวัดที่สร้างด้วยไม้ 33 ปีต่อมา (พ.ศ.2440) ก็อยู่ในสภาพผุพัง และสถานทีคับแคบเกินไป จึงได้มีการวางโครงการเพื่อสร้างวัดหลังถาวรขั้น(วัดหลังปัจจุบัน) ตามแบบของวัดบางนกแขวก อ.บางคณฑี จ.สมุทรสงคราม ใช้เวลา 7 ปี ในการจัดหาทุน จัดเตรียมอุปกรณ์ และก่อสร้างจนแล้วเสร็จ
และมีพิธีเสกวัด “ นักบุญมีคาแอล ดอนกระเบื้อง ” ในวันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม 2447 สองปีต่อมาได้มีการจัดตั้งโรงเรียนประชาบาล ตั้งชื่อว่า “ โรงเรียนประชาบาลตำบลดอนกระเบื้อง ”(นักบุญมีคาแอล) ทำการสอนทั้งหนังสือวัด หนังสือไทย (โรงเรียนเทพินทร์พิทยาในปัจจุบัน) นอกจากนั้นเจ้าอาวาสได้ร่วมกับบรรดาคริสตชนช่วยกันปลูกต้นมะขามรอบๆบริเวณวัด เพื่อสร้างความร่มรื่นสำหรับบริเวณวัด ทั้งยังสามารถนำผลผลิตมาใช้ทำอาหารได้อีกด้วย ซึ่งต้นมะขามดังกล่าวนี้ยังคงอยู่เป็นคู่บารมีของวัดดอนกระเบื้องจนถึงปัจจุบัน และต้นมะขามนี้ ถือได้ว่าเป็นต้นไม้สัญญลักษณ์ประจำวัดและโรงเรียนอีกด้วย
2554/05/30
นักบุญโธมัส อะไควนัส หรือ โทมัส อไควนัส
ช่วงนี้ ได้เห็น หรือ ได้ยิน ชื่อนี้บ่อย เลยขอเขียนถึงท่านซะนิด
พระสงฆ์และนักปราชญ์
(ค.ศ. 1225-1275)
ฉลอง 28 มกราคม
โทมัส มีตำแหน่งเป็นท่านเคานท์แห่งอากวีโนในอิตาลีสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแห่งเนเปิลแล้วไปอยู่กับคณะสงฆ์โดมินิกัน พี่ชายสองคนของท่านได้นำท่านกลับไปกักขังไว้ในปราสาทตลอดเวลา 2 ปี เพื่อมิให้ท่านหนีไปบวช
สมเด็จพระสันตะปาปาทรงเรียกให้โทมัสเข้าพบทั้งยังได้ทรงเตือนมารดาและพี่ชายของโทมัสมิให้ขัดขวางเสรีภาพในการบวชของโทมัส ท่านจึงกลับไปยังคณะโดมินิกันทางคณะส่งโทมัสไปศึกษาต่อในฝรั่งเศสและเยอรมันเมื่อโทมัสบวชเป็นพระสงฆ์แล้วก็ได้เป็นอาจารย์มีชื่อเสียงโด่งดังมาก
ท่านชอบเทศน์สอนให้คนจนฟังและเขียนข้อพระธรรมคำสอนบทภาวนาบทสวดสรรเสริญศีลมหาสนิทที่พระศาสนจักรบังคับใช้ทุกวันนี้ หนังสือปรัชญาและเทวศาสตร์ที่ท่านเขียนเป็นคำสอนที่สมบูรณ์ที่สุดอันดับหนึ่งสังคยานาวาติกันที่ 2 ก็ได้อ้างอิงคำสั่งสอนของท่านอย่างมากทีเดียว ท่านได้รับเกียรติด้วยการที่พระศาสนาจักรขนานนามท่านว่า " นักปราชญ์เทวดา"
พระเยซูเจ้าประจักษ์มาขณะที่โทมัสเข้าฌาน ตรัสถามว่า " ท่านต้องการรางวัลอะไรจากเรา "
โทมัสทูลตอบว่า "ข้าพเจ้าไม่ปรารถนาสิ่งใดเลย นอกจากพระองค์แต่ผู้เดียวเท่านั้น "
เมืองไทยมีโบสถ์ที่ใช้ชื่่อนี้ โดยคณะพระมหาไถ่ ซึ่งดำเนินการอยู่ที่ มีนบุรี อยู่ในโรงเรียนร่วมฤดีนานาชาติ
เป็นโบสถ์ ที่เพิ่งสร้างขึ้นมาไม่นานนี้ หลังจากทีไ่ด้ย้ายโรงเรียนร่วมฤดี จากในเมือง ออกสู่ชานเมือง ซึ่งก็ส่งผลดีต่อชุมชน และนักเีรียนที่มาเรียนแถวนี้เป็นอย่างยิ่ง
เลขที่ 6 ถนนรามคำแหง (สุขาภิบาล 3) ซอย 184 (หมู่บ้านโชคชัยปัญจทรัพย์) เขตมีนบุรี กรุงเทพ 10510
2552/02/09
อัศจรรย์แห่งชีวิต
ทุกคนมีความสุขอย่างมากในช่วงที่เด็กเกิด แต่ความสุขต้องหลีกทางให้กับความกังวลอย่างรวดเร็ว ทารกน้อยมีอาการแย่มาก ทีมกุมารแพทย์เริ่มลงมือรักษาทารกน้อยทันทีเมื่อเด็กคลอดและเกิดอาการผิดปกติ ดูเหมือนว่าทารกน้อยจำต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษในห้องไอซียูสำหรับเด็กเล็กเป็นเวลาอีกออย่างน้อยสองสัปดาห์ “ความหวังมีน้อยมาก ผู้เชี่ยวชาญด้านกุมารเวชพูด “เตรียมใจไว้บ้างก็ดีครับ” สามีภรรยาผู้เป็นพ่อและแม่ต้องปวดร้าวที่ต้องติดติดต่อสุสานท้องถิ่นเรื่องฝังศพแทนที่การวางแผนจัดห้องนอนเด็กอ่อน ไมเคิลเฝ้าอ้อนวอนพ่อกับแม่ให้พาเขาไปพบหน้าน้องสาวบ้าง “ผมอยากร้องเพลงกล่อมน้องฮะ” แต่ห้องไอซียูไม่อนุญาติให้เด็กเข้า แม่ตัดสินใจพาไมเคิลเข้าไปเพื่อให้ไมเคิลได้พบน้องสาวให้ได้ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม แม่จับไมเคิลใส่ชุดกันเชื้อโรคและพาเข้าห้องไอซียูในขณะที่พยาบาลสั่งห้ามทันทีที่เห็น แต่แม่ยืนยันหนักแน่น “เขาจะไม่ออกไปจนกว่าจะได้ร้องเพลงกล่อมน้อง” ไมเคิลจ้องทารกน้อยที่กำลังพ่ายแพ้ต่อชีวิต ครู่ต่อมาเขาเริ่มร้องเพลงจากหัวใจบริสุทธิ์ของเด็กวัยสามขวบ “You are my sunshine, my only sunshine, you make me happy when skies are grey.” ทารกน้อยดูเหมือนจะตอบสนองในทันที ชีพจรเธอเริ่มสงบลงและเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ “ร้องต่อไปเรื่อยๆ จ้ะ ลูกรัก” ไมเคิลเริ่มร้องต่อ “You’ll never know, dear, how much I love you , please don’t take my sunshine away.” น้องสาวไมเคิลเริ่มผ่อนคลายอย่างสงบ “ร้องต่อไปจ้ะ ไมเคิล” เวลานี้ทั้งแม่และพยาบาลน้ำตาไหลอาบแก้ม “You are my sunshine, my only sunshine, please don’t take my sunshine away.” ไมเคิลร้องดังก้อง
วันต่อมา วันรุ่งขึ้น ทารกน้อยมีอาการดีขึ้นตามลำดับจนหายและกลับบ้านได้ในที่สุด นิตยสารวูแมนส์เดย์ เรียกเหตุการณ์นี้ว่า “เพลงอัศจรรย์ของพี่ชาย” ส่วนทีมกุมารแพทย์เรียกมันว่า “อัศจรรย์” แต่แม่และไมเคิลขนานนามให้เป็น “อัศจรรย์ความรักของพระเจ้า”
เรียบเรียงจากเรื่องที่ 38 ในหนังสือ “อัศจรรย์แห่งชีวิต”*
*******************************
เรื่อง “อัศจรรย์” สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกยุคทุกสมัย ไม่เฉพาะแต่สมัยของพระเยซูเจ้าเท่านั้น แต่หากท่านที่ไม่เคยประสบกับตนเองก็จะไม่รู้สึกซาบซึ้งกับคำว่า “อัศจรรย์” หรือ “ปาฏิหาริย์” เท่ากับคนที่เคยประสบ ข้าพเจ้าอ่านเรื่องข้างต้นที่ยกมาจากหนังสือ “อัศจรรย์แห่งชีวิต” ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงเรื่องราวของสองสามีภรรยาสองคู่ ทั้งสองคู่มีภาวะความเสี่ยงที่บุตรจะเกิดมาเป็นโรคทาลัสซีเมีย*
ในสมัยก่อน 40 กว่าปีที่แล้ว ยังไม่มีการตรวจความสมบูรณ์ของทารกในครรภ์ก่อนคลอดเหมือนปัจจุบัน สามีภรรยาคู่แรกให้กำเนิดบุตรชายและบุตรสาวหลายคน แต่มีสองคนที่เป็นทาลัสซีเมียซึ่งเป็นโรคเลือดชนิดหนึ่งที่มีความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ ทำให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดแดงที่มีลักษณะผิดปกติแตกสลายเร็วกว่าที่ควร ทำให้มีอาการซีดเรื้อรัง เด็กน้อยทั้งสองคนไม่แข็งแรงตั้งแต่เกิด ต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อยๆ เพื่อรับการให้เลือด แพทย์แจ้งกับผู้เป็นพ่อและแม่ของเด็กน้อยทั้งสองว่า เด็กทั้งสองนี้จะมีอายุไม่นาน โดยทั่วไปไม่เกิน 15 ปี พ่อแม่ต้องทำใจ แต่ทั้งสองท่านมีศรัทธาในพระเจ้ามาก ขอพระพรจากพระเจ้าเพื่อบุตรชายทั้งสองของตนเสมอ จนเวลาล่วงเลยมา 40 กว่าปี บุตรชายคนหนึ่งได้จากไปก่อนด้วยวัยเพียงสามสิบกว่าๆ แต่บุตรชายอีกคนสามารถแต่งงานมีทายาทสืบสกุลที่สมบูรณ์ทุกประการได้อย่างน่าอัศจรรย์ ถึงแม้ว่าชีวิตของเขาทั้งสองจะไม่ยืนยาว แต่ก็มากพอที่เขาจะได้รับความรัก ความอบอุ่นจากพ่อแม่ และถ่ายทอดความรักนั้นสู่ลูกชายของเขาได้เช่นกัน “อัศจรรย์” ที่มีชีวิตอยู่ได้ยืนยาวมากกว่าที่แพทย์คาดการณ์ไว้กว่ายี่สิบปี เรื่องราว “อัศจรรย์” ทำนองนี้เกิดขึ้นเสมอ
และก็เกิดขึ้นกับสามีภรรยาคู่ที่สองที่ข้าพเจ้ากำลังจะกล่าวถึงซึ่งเป็นคู่ที่มีภาวะความเสี่ยงในการมีบุตรเป็นทาลัสซีเมีย (อัตรา1 ใน 4) เช่นเดียวกับคู่แรก แต่ทั้งคู่อยู่ในยุคปัจจุบันที่มีเทคโนโลยีทางการแพทย์เจริญก้าวหน้ามากแล้ว สามารถตรวจหาความเสี่ยงได้ก่อนเด็กคลอด (การวินิจฉัยก่อนคลอด Prenatal diagnosis) ทั้งคู่เลือกโรงพยาบาลที่ดีที่สุดเพื่อดูแลบุตรในครรภ์เป็นอย่างดี และแพทย์ก็ยืนยันว่าไม่พบความเสี่ยงดังกล่าว แต่ในเดือนที่แปดของการตั้งครรภ์ก็เกิดภาวะผิดปกติ ทำให้แพทย์ต้องตัดสินใจผ่าคลอด และเมื่อคลอดแล้วก็พบว่าทารกมีร่างกายไม่สมบูรณ์ คือมีโครโมโซมผิดปกติทำให้หัวใจของเด็กน้อยมีแค่ 3 ห้อง แพทย์แจ้งให้ทำใจ เพราะทั่วไปเด็กจะอยู่ได้ไม่เกิน 1 เดือน เด็กน้อยต้องอยู่ตู้อบในห้องไอซียูสำหรับเด็ก เมื่อทราบข่าวทุกคนในครอบครัวต่างเศร้าโศกเสียใจ อยากจะให้ “อัศจรรย์” หรือ “ปาฏิหาริย์” เกิดขึ้นทั้งๆ ที่ใจก็ยอมรับว่ามันเป็นไปไม่ได้ และแล้วเด็กน้อยก็ต้องจากไป สามีภรรยาผู้เป็นพ่อแม่ของเด็กน้อยคือผู้ที่ปวดร้าวที่สุด ยากที่จะทำใจยอมรับได้ และต้องพักฟื้นใจกันอีกระยะหนึ่ง
ทว่าทั้งสองคนและทุกคนในครอบครัวต่างเชื่อมั่น หากมี “ศรัทธา” สิ่งที่เราเชื่อมั่นจะต้องเป็นจริงได้ และข่าวดีก็เข้ามาให้ครอบครัวได้ดีใจกันอีกครั้ง เมื่อทราบว่าผู้เป็นภรรยาได้ตั้งครรภ์อีกครั้ง และครั้งนี้ทุกคนในครอบครัวร่วมกันแสดงความศรัทธาและวอนขอพระพรจากพระผู้เป็นเจ้า บทสวดสำคัญที่สวดกันในครอบครัวอย่างสม่ำเสมอในช่วงนั้น นอกจากการสวดสายประคำทุกวันแล้วนั้น นั่นคือบทสวด “พระเมตตา” ทุกวันศุกร์ และความชื่นชมยินดีก็มาถึง เมื่อครบกำหนดคลอด ครอบครัวก็ได้สมาชิกใหม่เป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู พวกเขาจึงตั้งนามนักบุญให้เด็กน้อยนี้ว่า “โฟสตินา”* เพื่อยืนยันถึง “พระเมตตา” ของพระเยซูเจ้า สายรุ้งและแสงแดดหลังพายุฝนกระหน่ำนั้นสวยงามเช่นไร ครอบครัวนี้เข้าใจความหมายได้อย่างลึกซึ้ง ถึงแม้ดูเหมือนว่าจะถูกทดลองความเชื่อมาก่อนที่จะพบกับความสุขก็ตาม
“อัศจรรย์”นั้นมีจริง และเกิดขึ้นได้กับทุกคนแสมอ หากเรา “เชื่อมั่น” และมี “ศรัทธา”
หมายเหตุ
* หนังสือ “อัศจรรย์แห่งชีวิต ฉบับความรักและมิตรภาพ” ยิตตา ฮัลเอบร์สแตม และจูดิธ เวลเวสนธัล เขียน / สิทธิพร ชุมชื่นจิตร์ เรียบเรีบง จาก Small Miracle of love & Friendship
* ทาลัสซีเมีย เป็นโรคเลือดชนิดหนึ่งที่มีความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ ทำให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดแดงที่มีลักษณะผิดปกติแตกสลายเร็วกว่าที่ควร ทำให้มีอาการซีดเหลืองเรื้อรัง ผู้ที่มีอาการแสดงของโรคนี้ จะต้องรับกรรมพันธุ์ที่
ผิดปกติมาจากทั้งฝ่ายพ่อและแม่ (ซึ่งอาจไม่มีอาการแสดง) ถ้ารับจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงฝ่ายเดียว จะไม่มีอาการแสดง แต่จะมีกรรมพันธุ์ที่ผิดปกติอยู่ในตัวและสามารถถ่ายทอดไปยังลูกหลานต่อไป ในประเทศไทยพบว่ามีกรรมพันธุ์ที่ผิดปกติของโรคนี้ โดยไม่แสดงอาการเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนอีสาน อาจมีถึง 40% ของประชากรทั่วไปที่มีกรรมพันธุ์ของโรคนี้ สาเหตุเกิดจากความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ ผู้ที่มียีนธาลัสซีเมียทั้งที่เป็นโรคและเป็นพาหะจะสามารถถ่ายทอดยีนที่ผิดปกติไปสู่ลูกหลานได้ ในกรณีที่พ่อหรือแม่เป็นพาหะเพียงคนเดียว โอกาสที่ลูกเป็นพาหะเท่ากับ 2 ใน 4 หรือครึ่งต่อครึ่ง แต่จะไม่มีลูกคนใดเป็นโรค ในกรณีที่พ่อและแม่เป็นพาหะของธาลัสซีเมียทั้งคู่โอกาสที่ลูกจะเป็นโรคเท่ากับ 1 ใน 4 โอกาสที่จะเป็นพาหะเท่ากับ 2 ใน 4 และ โอกาสที่จะปกติเท่ากับ 1 ใน 4 ในกรณีที่พ่อและแม่ ฝ่ายหนึ่งเป็นโรค และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นพาหะ โอกาสที่ลูกจะเป็นโรคเท่ากับ 2 ใน 4 และ โอกาสที่จะเป็นพาหะเท่ากับ 2 ใน 4 โดยลูกไม่มีโอกาสปกติเลย (ข้อมูลจาก ไทยแลปออนไลน์ เฮท์ลไซต์)
* นักบุญ “โฟสตินา” มีชื่อเดิมว่า เฮเลนา โควาลสกา เกิดเมื่อวันที่25 สิงหาคม ค.ศ.1905 ที่หมู่บ้านโกลโลวิค ประเทศโปแลนด์ เป็นบุตรคนที่ 3 ในจำนวนพี่น้อง 10 คน เมื่ออายุเกือบ 20 ปี ได้เข้าอารามภคินี คณะพระแม่แห่งความเมตตา สมาชิกคณะนี้อุทิศตนเพื่อดูแลให้การศึกษาแก่สตรีที่ประสบปัญหาชีวิต ปีต่อมาได้รับเครื่องแบบนักบวชและรับนามใหม่ว่า ซิสเตอร์มาเรีย โฟตตินา ปี 1928 พระเยซูเจ้าเริ่มเผยแสดงพระองค์ต่อท่าน ปี 1930 ซิสเตอร์โฟสตินา ได้รับสารแห่งพระเมตตาจากพระเยซูเจ้า และเริ่มเขียนบันทึกยาวกว่า 600 หน้า เกี่ยวกับการเผยแสดงต่างๆ ที่ได้รับเกี่ยวกับพระเมตตาของพระเป็นเจ้า เป็นเครื่องมือเน้นย้ำแผนการแห่งพระเมตตาของพระเป็นเจ้าสำหรับชาวโลก ชีวิตของท่านเลียนแบบองค์พระคริสตเจ้า ท่านพลีกรรมและมีชีวิตเพื่อผู้อื่น ท่านเต็มใจถวายความทุกข์ทรมานส่วนตัวร่วมกับพระองค์ เพื่อชดเชยบาปของผู้อื่น ทำกิจเมตตา กระตุ้นให้ผู้อื่นวางใจในพระเป็นเจ้า เพื่อเตรียมชาวโลกให้พร้อม สำหรับการเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่งของพระองค์ ท่านทำตามคำสอนของพระเป็นเจ้าที่ตรัสว่า "จงมีความเมตตากรุณา เหมือนพระบิดาของท่านผู้ทรงเมตตา" ท่านมรณกรรมเมื่อปี 1938
ซิสเตอร์โฟสตินาได้รับการสถาปนาเป็นนักบุญ โดยสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 เมื่อวันที่ 3 เมษายน ค.ศ.2000 พระองค์ตรัสในคำเทศน์ตอนหนึ่งว่า ชีวิตของซิสเตอร์ โฟสตินา โควาลสกา เป็นดังของประทานจากพระเป็นเจ้าเพื่อยุคสมัยของเรา ชีวิตที่ถ่อมตนของท่านเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 คนที่ยังจดจำได้ย่อมตระหนักดีว่า ณ เวลานั้นประชากรหลายล้านคนทั่วโลกต้องผจญกับความทุกข์ยากแสนทรมานเพียงไร ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่โลกต้องการสารแห่งความเมตตาเป็นอย่างยิ่ง
สิ่งสำคัญที่ต้องไม่ลืมคือ ความรักพระเป็นเจ้า และความรักต่อพี่น้อง ชาย หญิงทั้งหลาย ไม่อาจแยกจากกันได้ ดังที่จดหมายของนักบุญยอห์นได้เตือนเราว่า "เรารู้ว่าเรารักบรรดาบุตรของพระเจ้า เมื่อเรารักพระเจ้าและปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์" (1 ยอห์น 5:2) แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรักด้วยความรักที่ลึกซึ้ง โดยอาศัยตัวมนุษย์เองเท่านั้น แต่เราจะรักอย่างสิ้นสุดจิตใจได้ก็ต่อเมื่อได้เรียนรู้โดยซึมซับจากรหัสธรรมแห่งความรักของพระเป็นเจ้า เมื่อเพ่งมองพระองค์ซึ่งเต็มไปด้วยหัวใจแห่งความเป็นพ่อ ทำให้เรามีดวงตาใหม่ในการมองเพื่อนพี่น้องด้วยสายตาแห่งการไม่เห็นแก่ตัว เป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ใจกรุณา และการให้อภัย ทั้งหมดนี้คือความเมตตานั่นเอง
(ข้อมูลจาก อุดมศานต์ - มีนาคม 2006)
วันต่อมา วันรุ่งขึ้น ทารกน้อยมีอาการดีขึ้นตามลำดับจนหายและกลับบ้านได้ในที่สุด นิตยสารวูแมนส์เดย์ เรียกเหตุการณ์นี้ว่า “เพลงอัศจรรย์ของพี่ชาย” ส่วนทีมกุมารแพทย์เรียกมันว่า “อัศจรรย์” แต่แม่และไมเคิลขนานนามให้เป็น “อัศจรรย์ความรักของพระเจ้า”
เรียบเรียงจากเรื่องที่ 38 ในหนังสือ “อัศจรรย์แห่งชีวิต”*
*******************************
เรื่อง “อัศจรรย์” สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกยุคทุกสมัย ไม่เฉพาะแต่สมัยของพระเยซูเจ้าเท่านั้น แต่หากท่านที่ไม่เคยประสบกับตนเองก็จะไม่รู้สึกซาบซึ้งกับคำว่า “อัศจรรย์” หรือ “ปาฏิหาริย์” เท่ากับคนที่เคยประสบ ข้าพเจ้าอ่านเรื่องข้างต้นที่ยกมาจากหนังสือ “อัศจรรย์แห่งชีวิต” ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงเรื่องราวของสองสามีภรรยาสองคู่ ทั้งสองคู่มีภาวะความเสี่ยงที่บุตรจะเกิดมาเป็นโรคทาลัสซีเมีย*
ในสมัยก่อน 40 กว่าปีที่แล้ว ยังไม่มีการตรวจความสมบูรณ์ของทารกในครรภ์ก่อนคลอดเหมือนปัจจุบัน สามีภรรยาคู่แรกให้กำเนิดบุตรชายและบุตรสาวหลายคน แต่มีสองคนที่เป็นทาลัสซีเมียซึ่งเป็นโรคเลือดชนิดหนึ่งที่มีความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ ทำให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดแดงที่มีลักษณะผิดปกติแตกสลายเร็วกว่าที่ควร ทำให้มีอาการซีดเรื้อรัง เด็กน้อยทั้งสองคนไม่แข็งแรงตั้งแต่เกิด ต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อยๆ เพื่อรับการให้เลือด แพทย์แจ้งกับผู้เป็นพ่อและแม่ของเด็กน้อยทั้งสองว่า เด็กทั้งสองนี้จะมีอายุไม่นาน โดยทั่วไปไม่เกิน 15 ปี พ่อแม่ต้องทำใจ แต่ทั้งสองท่านมีศรัทธาในพระเจ้ามาก ขอพระพรจากพระเจ้าเพื่อบุตรชายทั้งสองของตนเสมอ จนเวลาล่วงเลยมา 40 กว่าปี บุตรชายคนหนึ่งได้จากไปก่อนด้วยวัยเพียงสามสิบกว่าๆ แต่บุตรชายอีกคนสามารถแต่งงานมีทายาทสืบสกุลที่สมบูรณ์ทุกประการได้อย่างน่าอัศจรรย์ ถึงแม้ว่าชีวิตของเขาทั้งสองจะไม่ยืนยาว แต่ก็มากพอที่เขาจะได้รับความรัก ความอบอุ่นจากพ่อแม่ และถ่ายทอดความรักนั้นสู่ลูกชายของเขาได้เช่นกัน “อัศจรรย์” ที่มีชีวิตอยู่ได้ยืนยาวมากกว่าที่แพทย์คาดการณ์ไว้กว่ายี่สิบปี เรื่องราว “อัศจรรย์” ทำนองนี้เกิดขึ้นเสมอ
และก็เกิดขึ้นกับสามีภรรยาคู่ที่สองที่ข้าพเจ้ากำลังจะกล่าวถึงซึ่งเป็นคู่ที่มีภาวะความเสี่ยงในการมีบุตรเป็นทาลัสซีเมีย (อัตรา1 ใน 4) เช่นเดียวกับคู่แรก แต่ทั้งคู่อยู่ในยุคปัจจุบันที่มีเทคโนโลยีทางการแพทย์เจริญก้าวหน้ามากแล้ว สามารถตรวจหาความเสี่ยงได้ก่อนเด็กคลอด (การวินิจฉัยก่อนคลอด Prenatal diagnosis) ทั้งคู่เลือกโรงพยาบาลที่ดีที่สุดเพื่อดูแลบุตรในครรภ์เป็นอย่างดี และแพทย์ก็ยืนยันว่าไม่พบความเสี่ยงดังกล่าว แต่ในเดือนที่แปดของการตั้งครรภ์ก็เกิดภาวะผิดปกติ ทำให้แพทย์ต้องตัดสินใจผ่าคลอด และเมื่อคลอดแล้วก็พบว่าทารกมีร่างกายไม่สมบูรณ์ คือมีโครโมโซมผิดปกติทำให้หัวใจของเด็กน้อยมีแค่ 3 ห้อง แพทย์แจ้งให้ทำใจ เพราะทั่วไปเด็กจะอยู่ได้ไม่เกิน 1 เดือน เด็กน้อยต้องอยู่ตู้อบในห้องไอซียูสำหรับเด็ก เมื่อทราบข่าวทุกคนในครอบครัวต่างเศร้าโศกเสียใจ อยากจะให้ “อัศจรรย์” หรือ “ปาฏิหาริย์” เกิดขึ้นทั้งๆ ที่ใจก็ยอมรับว่ามันเป็นไปไม่ได้ และแล้วเด็กน้อยก็ต้องจากไป สามีภรรยาผู้เป็นพ่อแม่ของเด็กน้อยคือผู้ที่ปวดร้าวที่สุด ยากที่จะทำใจยอมรับได้ และต้องพักฟื้นใจกันอีกระยะหนึ่ง
ทว่าทั้งสองคนและทุกคนในครอบครัวต่างเชื่อมั่น หากมี “ศรัทธา” สิ่งที่เราเชื่อมั่นจะต้องเป็นจริงได้ และข่าวดีก็เข้ามาให้ครอบครัวได้ดีใจกันอีกครั้ง เมื่อทราบว่าผู้เป็นภรรยาได้ตั้งครรภ์อีกครั้ง และครั้งนี้ทุกคนในครอบครัวร่วมกันแสดงความศรัทธาและวอนขอพระพรจากพระผู้เป็นเจ้า บทสวดสำคัญที่สวดกันในครอบครัวอย่างสม่ำเสมอในช่วงนั้น นอกจากการสวดสายประคำทุกวันแล้วนั้น นั่นคือบทสวด “พระเมตตา” ทุกวันศุกร์ และความชื่นชมยินดีก็มาถึง เมื่อครบกำหนดคลอด ครอบครัวก็ได้สมาชิกใหม่เป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู พวกเขาจึงตั้งนามนักบุญให้เด็กน้อยนี้ว่า “โฟสตินา”* เพื่อยืนยันถึง “พระเมตตา” ของพระเยซูเจ้า สายรุ้งและแสงแดดหลังพายุฝนกระหน่ำนั้นสวยงามเช่นไร ครอบครัวนี้เข้าใจความหมายได้อย่างลึกซึ้ง ถึงแม้ดูเหมือนว่าจะถูกทดลองความเชื่อมาก่อนที่จะพบกับความสุขก็ตาม
“อัศจรรย์”นั้นมีจริง และเกิดขึ้นได้กับทุกคนแสมอ หากเรา “เชื่อมั่น” และมี “ศรัทธา”
หมายเหตุ
* หนังสือ “อัศจรรย์แห่งชีวิต ฉบับความรักและมิตรภาพ” ยิตตา ฮัลเอบร์สแตม และจูดิธ เวลเวสนธัล เขียน / สิทธิพร ชุมชื่นจิตร์ เรียบเรีบง จาก Small Miracle of love & Friendship
* ทาลัสซีเมีย เป็นโรคเลือดชนิดหนึ่งที่มีความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ ทำให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดแดงที่มีลักษณะผิดปกติแตกสลายเร็วกว่าที่ควร ทำให้มีอาการซีดเหลืองเรื้อรัง ผู้ที่มีอาการแสดงของโรคนี้ จะต้องรับกรรมพันธุ์ที่
ผิดปกติมาจากทั้งฝ่ายพ่อและแม่ (ซึ่งอาจไม่มีอาการแสดง) ถ้ารับจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงฝ่ายเดียว จะไม่มีอาการแสดง แต่จะมีกรรมพันธุ์ที่ผิดปกติอยู่ในตัวและสามารถถ่ายทอดไปยังลูกหลานต่อไป ในประเทศไทยพบว่ามีกรรมพันธุ์ที่ผิดปกติของโรคนี้ โดยไม่แสดงอาการเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนอีสาน อาจมีถึง 40% ของประชากรทั่วไปที่มีกรรมพันธุ์ของโรคนี้ สาเหตุเกิดจากความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ ผู้ที่มียีนธาลัสซีเมียทั้งที่เป็นโรคและเป็นพาหะจะสามารถถ่ายทอดยีนที่ผิดปกติไปสู่ลูกหลานได้ ในกรณีที่พ่อหรือแม่เป็นพาหะเพียงคนเดียว โอกาสที่ลูกเป็นพาหะเท่ากับ 2 ใน 4 หรือครึ่งต่อครึ่ง แต่จะไม่มีลูกคนใดเป็นโรค ในกรณีที่พ่อและแม่เป็นพาหะของธาลัสซีเมียทั้งคู่โอกาสที่ลูกจะเป็นโรคเท่ากับ 1 ใน 4 โอกาสที่จะเป็นพาหะเท่ากับ 2 ใน 4 และ โอกาสที่จะปกติเท่ากับ 1 ใน 4 ในกรณีที่พ่อและแม่ ฝ่ายหนึ่งเป็นโรค และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นพาหะ โอกาสที่ลูกจะเป็นโรคเท่ากับ 2 ใน 4 และ โอกาสที่จะเป็นพาหะเท่ากับ 2 ใน 4 โดยลูกไม่มีโอกาสปกติเลย (ข้อมูลจาก ไทยแลปออนไลน์ เฮท์ลไซต์)
* นักบุญ “โฟสตินา” มีชื่อเดิมว่า เฮเลนา โควาลสกา เกิดเมื่อวันที่25 สิงหาคม ค.ศ.1905 ที่หมู่บ้านโกลโลวิค ประเทศโปแลนด์ เป็นบุตรคนที่ 3 ในจำนวนพี่น้อง 10 คน เมื่ออายุเกือบ 20 ปี ได้เข้าอารามภคินี คณะพระแม่แห่งความเมตตา สมาชิกคณะนี้อุทิศตนเพื่อดูแลให้การศึกษาแก่สตรีที่ประสบปัญหาชีวิต ปีต่อมาได้รับเครื่องแบบนักบวชและรับนามใหม่ว่า ซิสเตอร์มาเรีย โฟตตินา ปี 1928 พระเยซูเจ้าเริ่มเผยแสดงพระองค์ต่อท่าน ปี 1930 ซิสเตอร์โฟสตินา ได้รับสารแห่งพระเมตตาจากพระเยซูเจ้า และเริ่มเขียนบันทึกยาวกว่า 600 หน้า เกี่ยวกับการเผยแสดงต่างๆ ที่ได้รับเกี่ยวกับพระเมตตาของพระเป็นเจ้า เป็นเครื่องมือเน้นย้ำแผนการแห่งพระเมตตาของพระเป็นเจ้าสำหรับชาวโลก ชีวิตของท่านเลียนแบบองค์พระคริสตเจ้า ท่านพลีกรรมและมีชีวิตเพื่อผู้อื่น ท่านเต็มใจถวายความทุกข์ทรมานส่วนตัวร่วมกับพระองค์ เพื่อชดเชยบาปของผู้อื่น ทำกิจเมตตา กระตุ้นให้ผู้อื่นวางใจในพระเป็นเจ้า เพื่อเตรียมชาวโลกให้พร้อม สำหรับการเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่งของพระองค์ ท่านทำตามคำสอนของพระเป็นเจ้าที่ตรัสว่า "จงมีความเมตตากรุณา เหมือนพระบิดาของท่านผู้ทรงเมตตา" ท่านมรณกรรมเมื่อปี 1938
ซิสเตอร์โฟสตินาได้รับการสถาปนาเป็นนักบุญ โดยสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 เมื่อวันที่ 3 เมษายน ค.ศ.2000 พระองค์ตรัสในคำเทศน์ตอนหนึ่งว่า ชีวิตของซิสเตอร์ โฟสตินา โควาลสกา เป็นดังของประทานจากพระเป็นเจ้าเพื่อยุคสมัยของเรา ชีวิตที่ถ่อมตนของท่านเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 คนที่ยังจดจำได้ย่อมตระหนักดีว่า ณ เวลานั้นประชากรหลายล้านคนทั่วโลกต้องผจญกับความทุกข์ยากแสนทรมานเพียงไร ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่โลกต้องการสารแห่งความเมตตาเป็นอย่างยิ่ง
สิ่งสำคัญที่ต้องไม่ลืมคือ ความรักพระเป็นเจ้า และความรักต่อพี่น้อง ชาย หญิงทั้งหลาย ไม่อาจแยกจากกันได้ ดังที่จดหมายของนักบุญยอห์นได้เตือนเราว่า "เรารู้ว่าเรารักบรรดาบุตรของพระเจ้า เมื่อเรารักพระเจ้าและปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์" (1 ยอห์น 5:2) แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรักด้วยความรักที่ลึกซึ้ง โดยอาศัยตัวมนุษย์เองเท่านั้น แต่เราจะรักอย่างสิ้นสุดจิตใจได้ก็ต่อเมื่อได้เรียนรู้โดยซึมซับจากรหัสธรรมแห่งความรักของพระเป็นเจ้า เมื่อเพ่งมองพระองค์ซึ่งเต็มไปด้วยหัวใจแห่งความเป็นพ่อ ทำให้เรามีดวงตาใหม่ในการมองเพื่อนพี่น้องด้วยสายตาแห่งการไม่เห็นแก่ตัว เป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ใจกรุณา และการให้อภัย ทั้งหมดนี้คือความเมตตานั่นเอง
(ข้อมูลจาก อุดมศานต์ - มีนาคม 2006)
2552/01/07
ข้ามน้ำโขง แสวงบุญ วัดเทเรซา ประเทศลาว



สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)