แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ คาทอลิก แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ คาทอลิก แสดงบทความทั้งหมด

2560/05/01

1 คืน 2 วัน สุพรรณบุรี ศรัทธาและสนุก

ไปมิสซาวันอาทิตย์ 9.00 น.  ที่วัดแม่พระประจักษ์ภูเขาคาแมล ที่สองพี่น้อง หลังจากนั้นก็ไปกินข้าวกันที่ร้านขัวะ ร้านอร่อยดั่งเดิมก่อนที่จะถึงทางเข้าหอคอยบรรหารฯ
ต่อด้วยการเข้าเล่นสวนน้ำ สนุกดีเหมาะกับเด็กรุ่นๆยิ่งนัก. แดดแรงแค่ไหนก็ไม่หวั่น..(เจ้าหน้าที่ดูแลดีมากครับ)

ต่อด้วยบ้านควาย มูลนิธิที่ดูแลควายสายพันธ์ุต่างๆ..สังเกตุดูที่เขาที่ต่างกัน
พวกเราใช้เวลาไม่นานเพราะอากาศร้อนมากกกก 4 โมงครึ่งออกไปที่พัก สินาธารา รีสอร์ท.

(เลยบึงฉวากไปนิดเดียว) ก่อนเข้าที่พักแวะ เซเว่น ซื้อข้าวเย็นกินกันอร่อยเลยจ้ะ...






ภายในที่พักดูในใน video นี้


2559/12/01

วัดคาทอลิก วัดพระคริสตกษัตริย์ นครปฐม






วัดตั้งอยู่บนถนนราชดำเนิน ใกล้ๆ กับพระปฐมเจดีย์ กับ พระราชวังสนามจันทร์
สถานที่แถวนี้ ยังเงียบสงบและมีร้านค้าชุมชน อยู่บริเวณรอบๆ พระปฐมเจดีย์
ใครว่างๆ ก็แวะไปขอพรกันได้นะครับ...

การประชุมสัมมนาระดับนานาชาติ ที่วาติกัน.. พูดถึง GEN Y ได้น่าคิดและนำไปปฏิบัติ

เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ การประชุมดีๆ ที่วาติกัน...
จึงขอนำมาลงในที่นี้..

การประชุมสัมมนาระดับนานาชาติ
Business Leaders an Agents of Economic and Social Inclusion
จัดที่ New Synod hall นครวาติกัน
ระหว่างวันที่ 17-18 พฤศจิกายน 2559
จัดโดยสมณกระทรวงยุติธรรมและสันติ และ Uniapac
(ชมรมนักธุรกิจคริสตชนระดับโลก)

การประชุมนี้เพื่อสนองตอบสมณสาร Evangelii Gaudium และ Laudato Si
โดยผู้เข้าร่วมการประชุม ประมาณ 450 คน จาก 41 ประเทศ ส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจ นักวิชาการ พระสังฆราช และพระสงฆ์จานวนหนึ่ง

เนื้อหาหลัก ๆ สรุปได้ดังนี้
ธุรกิจ (การทำมาค้าขาย) เป็นกระแสเรียกที่สูงส่ง นำมาซึ่งการสร้างความมั่งมี (Wealth) พัฒนาโลกให้ดีขึ้นและสร้างอาณาจักรของพระเจ้า ประเด็นใหญ่คือ ต้องเสาะหาวิธีที่จะให้มนุษย์แต่ละคนได้ร่วมรับประโยชน์ เช่น กลุ่มต่างๆ ในสังคม และเศรษฐกิจที่ถูกละเลยจากระบบสวัสดิการและการพัฒนา เพื่อนำไปสู่ความมั่งคั่งที่ทุกคนมีส่วนร่วม
การทำหน้าที่การงาน (Work) นั้น ต้องเพิ่มคุณค่าของทรัพยากรมนุษย์ เพื่อความบริบูรณ์ในชีวิตของแต่ละคนและครอบครัว เพื่อธุรกิจหรือวิชาชีพ แต่ควรต้องมีความสมดุลระหว่างบริษัทใหญ่และธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ทั้งระยะกลางและระยะยาว
การผลิตสินค้าที่ดีมีประโยชน์ มีกระบวนการผลิตและการบริหารงานที่ดี นำมาซึ่งความมั่นคั่งที่ดีและยุติธรรม เป็นความมั่งคั่งที่ทุกคนมีส่วนร่วม (Common good)
ระบบทุนและการเงินต้องใช้สาหรับการสร้างเศรษฐกิจแท้ (โดยผลิตสินค้าและบริการ) และไม่ใช้เงินในการเก็งกำไร ต้องเน้น Impact Investing (หรือที่เรียกกันว่า Capital 2.0) คือ การลงทุนต้องวัดไม่แค่ผลตอบแทนการลงทุนจากเกณฑ์การเงิน (IRR) เท่านั้น แต่ต้องวัดผลตอบแทนแก่สังคมและผลตอบแทนต่อสิ่งแวดล้อมด้วย และดังนั้นเงินจึงมีความหมายที่ดี (ต่อชีวิตคริสตชน) และเมื่อเงินถูกใช้ไปในการสร้างสิ่งดี ๆ และพัฒนาความเจริญของโลก สุดท้ายก็จะได้รับผลตอบแทนทางการเงินที่ดี

ประเด็นที่เกี่ยวข้อง ที่เสนอในการประชุม
ความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตครอบครัว (Work-Life balance) โอกาสในการทำงาน โอกาสที่พนักงานมีส่วนร่วมในการบริหารองค์กรให้มีธรรมาภิบาล (Good governance)  โอกาสของสตรีในงานและการดูแลอย่างเท่าเทียมกัน มีการพูดถึงเยาวชนรุ่นใหม่ (Gen Y) ซึ่งมักจะเปลี่ยนงานทุกๆ 2-3 ปี ซึ่งเป็นปัญหาของผู้จ้างงาน แต่จากการศึกษาพบว่า เยาวชนเหล่านี้ต้องการทำงานที่มีความหมายต่อสังคม เขาจะทำงานด้วยความมุ่งมั่น (Passion) ต้องการเป็นหุ้นส่วน และต้องการความใส่ใจ (Care for people) ซึ่งหากเข้าใจเขาดีพอ เขาจะเป็นผู้ร่วมงานที่มีคุณค่าอย่างมาก
ธุรกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) เหนือความรับผิดชอบต่อสังคม (Beyond Corporate Social Responsibility) จำต้องเริ่มภายในจากทุกฝ่ายงานของบริษัท ที่จะสร้างนวัตกรรมเพื่อสังคม (Social innovation) เพื่อวางแผนกลยุทธ์และแผนปฏิบัติที่ชัดเจนที่จะให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดได้รับประโยชน์จากกิจการของบริษัท

ตัวอย่างที่ดีที่ได้นำมาแบ่งปันบางเรื่อง
  บริษัทขนส่ง (Logistic) ขนาดใหญ่อันดับ 3 ของประเทศสหรัฐอเมริกา รับคนพิการทุกประเภทเข้ามาทำงานมากถึง 1/3 ของพนักงานทั้งหมด  และเป็นบริษัทที่มีประสิทธิภาพสูงสุดและมีผลกำไรดี ทั้งนี้ผู้บริหารของบริษัทเชื่อในศักยภาพของคนทุกคน และสามารถปลุกจิตสานึกของพนักงานทุกคนให้ช่วยเพื่อนพนักงานให้ได้ดีที่สุด ซึ่งผลก็คือ ไม่เพียงแต่คนพิการสามารถทำงานได้ไม่แพ้คนปกติ นอกเหนือจากนั้นพนักงานรักกันและเอาใจใส่ต่อกันและกัน เป็นบริษัทที่ทุกคนมีความสุขในการทำงาน
 บริษัทจำหน่ายสุขภัณฑ์และเซรามิคที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ได้ปรับการว่าจ้างพนักงานขนส่ง ให้เป็นผู้รับจ้างงาน โดยบริษัทจัดหารถขนส่ง วัสดุอุปกรณ์ รวมที่พักให้กับครอบครัว และผู้รับจ้างได้รับค่าจ้างมากน้อยตามงานที่ทำ นำครอบครัวมาช่วยงานได้ เป็นการสร้างผู้ประกอบการรายย่อย รวมถึงการตั้งวิทยาลัยอาชีวะทางด้านอาชีพเซรามิค โดยให้ลูกๆผู้รับจ้างงานและเยาวชนที่ขัดสนและสุ่มเสี่ยงต่อสภาพสังคมได้เรียนฝึกอาชีพโดยไม่คิดค่าเล่าเรียน มีที่พักให้ และนักศึกษายังสามารถรับจ้างงานในวันหยุด รวมทั้งจัดหางานให้ผู้จบการศึกษา เป็นการให้โอกาสอาชีพแก่เยาวชน และการฝึกอบรมเยาวชนให้เป็นคนมีคุณธรรม

ข้อคิดจากจิตตาภิบาลของ Uniapac
พระเยซูคริสตเจ้าได้นำมนุษย์ทุกคนให้คืนดีกับพระเจ้า (Reconcile)  พระองค์นำความรอดมาสู่มวลมนุษย์ และดังนั้นมนุษย์ต้องเจริญชีวิตตามแบบฉบับของพระองค์
การบริหารธุรกิจแบบทุกคนได้ประโยชน์ (Inclusive) เป็นเรื่องยากและเป็นไปไม่ได้ ถ้าเรายังมีความคิด  และความสัมพันธ์ระดับเพื่อนมนุษย์ แต่เป็นไปได้เมื่อนักธุรกิจมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าอย่างแท้จริง

ข้อเตือนใจจากพระสันตะปาปาฟรังซิส (เมื่อผู้เข้าประชุมเข้าเฝ้า)
 ธุรกิจต้องไม่สร้างขึ้นเพื่อหาเงิน ทำกำไร (Make money) แม้ว่าเงินหรือกำไรเป็นเครื่องมือทำให้ธุรกิจอยู่รอด ธุรกิจต้องสร้างขึ้นเพื่อรับใช้
 นักธุรกิจต้องทำให้กิจการส่งเสริมความดีส่วนรวม (Common good)

สรุปโดย :
คุณประจวบ ตรีนิกร
(ชมรมนักธุรกิจคาทอลิก)

2559/05/29

วัดคาทอลิก วัดพระแม่สกลสงเคราะห์ นนทบุรี

แห่แม่พระ ที่ วัดพระแม่สกลสงเคราะห์ ภายในวัดติดแอรฺ์เย็นช่ำ และรูปแม่พระแจกจ่ายพระหรรษทาน ตั้งเด่นอยู่ภายในวัด. และมีองค์ใหญ่สีทองดำสำริดอยู่ภายนอกวัด...
การขอพร และเชื่อในพระเมตตาบองแม่พระจะสามารถทำให้เราผ่านพ้นอุปสรรคของชีวิตได้เป็นอย่างดี..

2559/05/15

ทำบัตรประชาชนเด็ก ณ เขตดินแดง

ณ เขตดินแดง มีคนมาทำบัตรประชาชนไม่มาก เมื่อวันที่ 13/5 ซึ่งเป็นวันฉลองวัดแม่พระฟาติมาครบรอบ 60 ปีพอดี
เราก็ถือโอกาสอันดีมาทำบัตรประชาชนครั้งแรกให้กับลูกสาว ซึ่งนางตื่นเต้นมาก...
ได้บัตรคิวมา เลขสวยซะด้วย...ซึ่งใช้เวลารอและทำไม่ถึง 40 นาที
และนางก็บอกสนุกดีเหมือนเล่นเกมแต่เขาถามเยอะไปหน่อยเท่านั้นเอง...

2558/08/25

พัทลุง เมืองสงบ วัดน้อยในโรงเรียนธิดาเมตตาธรรม

มีโอกาสมาพัทลุงครั้งแรกในชีวิตเลยถือโอกาสแวะไปไหว้แม่พระเหรียญอัศจรรย์ที่โรงเรียนอนุบาลธิดาเมตตาธรรม  ซึ่งวันนี้โชคดีที่ซิสเตอร์ดูแลโรงเรียนแห่งนี้ว่างอยู่พอดี พวกเราจึงมีโอกาสได้ชมวัดน้อย

ภายในวัดน้อย มีรูปปั้นของพระเยซูที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน จึงถ่ายรูปเก็บไว้ และทราบว่ามาจากประเทศฟิลิปปินส์  บริเวณโรงเรียนกว้างใหญ่พอสมควรและมีพื้นที่ด้านข้างโรงเรียนที่เตรียมไว้สำหรับสร้างวัด (คงอีกหลายปีกว่าจะได้สร้าง... เพราะซิสเตอร์บอกว่าอยู่มาแล้ว 17 ปี ก็ยังไม่ได้สร้าง)

อย่างไรก็ตาม ที่วัดน้อยแห่งนี้ ก็มีมิสซา ทุกวันอาทิตย์ เวลา 11.00 น.
ใครผ่านมาก็แวะมาเข้ามิสซาได้ครับ


บริเวณโรงเรียน


 รูปปั้นแม่พระเหรียญอัศจรรย์

 Father of All Mankind.  พระเยซูถือลูกโลก

 ป้ายด้านหน้าของห้องวัดน้อย


ภายในวัดน้อยแห่งนี้

2555/06/23

แผนที่ วัดคาทอลิก ดอนกระเบื้อง (วัดอัครเทวดามีคาแอล)



ดู Church วัดคาทอลิก จ.ราชบุรี ในแผนที่ขนาดใหญ่กว่า




วันนี้จะพาท่านไปรู้จักกับ “วัดคาทอลิกดอนกระเบื้อง” ต.ดอนกระเบื้อง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ซึ่งจะเป็นคนละที่กับ "วัดดอนกระเบื้อง(วัดพุทธ)" ต.ดอนกระเบื้อง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี หลายคนอาจจะสับสน เพราะวัดทั้งสองตั้งอยู่ในตำบลเดียวกันติดชายแดนระหว่างบ้านโป่ง กับโพธาราม เหมือนกัน  วัดคริสต์แห่งแรกของอำเภอบ้านโป่ง ชื่อเต็มๆ ว่า
"วัดอัครเทวดามีคาแอล"

ในปี พ.ศ.2378 สิบปีต่อมาในปี พ.ศ.2388 บาทหลวงอัลบรังค์ ประจำอยู่ที่วัดกาลหว่าร์ กรุงเทพ ได้เยี่ยมกลุ่มคริสตชนที่คลองสี่หมื่นบางนกแขวกแล้ว มักจะกลับกรุงเทพ โดยใช้เส้นทางตามลำน้ำแม่กลองขึ้นไปทางตอนเหนือผ่าน ดอนกระเบื้อง บ้านโป่ง ลูกแก กาญจนบุรี รวมทั้งนครปฐม และได้เดินทางมาพบและโปรดศีลล้างบาปให้กับครอบครัวนี้ จนในปี พ.ศ.2393 จึงมีการตั้งกลุ่มคริสตชนที่ดอนกระเบื้อง สังกัดอยู่ในความดูแลของพระสงฆ์ที่มาจากบางนกแขวก หลังจากนั้น 6 ปี คือ พ.ศ.2399 กลุ่มคริสตชนดอนกระเบื้องได้ร่วมกันสร้างวัดเล็กๆขึ้นด้วยไม่ไผ่ (วัดหลังแรก) และถวายอยู่ในความอุปถัมป์ของนักบุญมีคาแอล ตั้งแต่นั้นมาคริสตชนที่ดอนกระเบื้องก็ได้เพิ่มจำนวนมากขึ้นทีละเล็กละน้อยตามลำดับ โดยมีคุณพ่อจิน พระสงฆ์ชาวจีนเป็นเจ้าอาวาสองค์แรกของวัดดอนกระเบื้อง เมื่อจำนวนคริสตชนที่ดอนกระเบื้องนี้ได้เพิ่มขึ้นมาก จึงได้สร้างวัดหลังใหม่ขึ้น ในปี พ.ศ.2407 เนื่องจากเป็นวัดที่สร้างด้วยไม้ 33 ปีต่อมา (พ.ศ.2440) ก็อยู่ในสภาพผุพัง และสถานทีคับแคบเกินไป จึงได้มีการวางโครงการเพื่อสร้างวัดหลังถาวรขั้น(วัดหลังปัจจุบัน) ตามแบบของวัดบางนกแขวก อ.บางคณฑี จ.สมุทรสงคราม ใช้เวลา 7 ปี ในการจัดหาทุน จัดเตรียมอุปกรณ์ และก่อสร้างจนแล้วเสร็จ

และมีพิธีเสกวัด “ นักบุญมีคาแอล ดอนกระเบื้อง ” ในวันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม 2447 สองปีต่อมาได้มีการจัดตั้งโรงเรียนประชาบาล ตั้งชื่อว่า “ โรงเรียนประชาบาลตำบลดอนกระเบื้อง ”(นักบุญมีคาแอล) ทำการสอนทั้งหนังสือวัด หนังสือไทย (โรงเรียนเทพินทร์พิทยาในปัจจุบัน) นอกจากนั้นเจ้าอาวาสได้ร่วมกับบรรดาคริสตชนช่วยกันปลูกต้นมะขามรอบๆบริเวณวัด เพื่อสร้างความร่มรื่นสำหรับบริเวณวัด ทั้งยังสามารถนำผลผลิตมาใช้ทำอาหารได้อีกด้วย ซึ่งต้นมะขามดังกล่าวนี้ยังคงอยู่เป็นคู่บารมีของวัดดอนกระเบื้องจนถึงปัจจุบัน และต้นมะขามนี้ ถือได้ว่าเป็นต้นไม้สัญญลักษณ์ประจำวัดและโรงเรียนอีกด้วย





2555/01/24

หนี flood ไปเที่ยววัดบ้านสุนทรภู่

ปาป๊า พาเที่ยว ตอนพิเศษ 1 : หนี flood ไปเที่ยววัดบ้านสุนทรภู่

สวัสดีค่า นู๋เอยเจ้าเก่าเองค่ะ อะไรนะคะจำนู๋ไม่ได้ ก้อนู๋เอยหลานป้าออมบุญไงคะ แหมหายไปนานลืมกันซะแล้ว มาคราวนี้ นู๋ขออินเทรนด์ กับเค้าบ้าง ก้อมวลน้ำก้อนใหญ่ จ่อจะเข้าบ้าน ปาป๊าก็เลยพาเด็ก สตรี และคนชรา อพยพหนี้น้ำไปอยู่บ้านพักที่ ระยอง ผู้ใหญ่ดูจะเครียดๆ แต่เด็กๆ อย่างนู๋งานนี้ลิงโลดค่ะ อยู่ๆ ก็ได้ไปเที่ยว (แอบขอบคุณพี่น้ำ อิ อิ)

หลังจากยัดข้าวของที่เหมือนไปเป็นแรมเดือนใส่รถตู้ ก็ออกเดินทางกันเลยค่า พวกเรามาถึงหาดแม่รำพึง จ.ระยอง ประมาณบ่ายๆ ผู้ใหญ่มัวยุ่งกับการจัดเก็บข้าวของ ส่วนเด็กๆ ก็ตื่นตาตื่นใจสำรวจพที่พักหลบภัย (น้ำท่วม)ของเรา ตอนเย็นนู๋ไม่รอช้า ชวนแม่ไปเล่นน้ำทะเลจากบ้านพัก เราเดินข้ามถนน 2 เลน ลงบันไดไปอีกหลายเฮือก ก็ได้เหยียบทรายสมใจ น้ำทะเลที่นี่สะอาดพอควร แต่บางวันก็มีคลื่นแรง นู๋เลยสนุกกับการเล่นทรายมากกว่า ส่วนพี่ๆ คนอื่นๆ ก็วิ่งไล่จับปูลมตัวเล็กๆ กับเก็บหอยเสียบที่มีเยอะมากจนยายเก็บไปดองน้ำปลาได้หลายขวดเ

ลยล่ะ พวกเรามาพักได้ 2-3 วัน ก็เริ่มหายตื่นเต้นกับน้ำทะเลเลยหาเรื่องไปเที่ยวกันใกล้ๆ บ้านพักที่แรก คือ อุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า ขับรถจากหาดแม่รำพึงไป


ที่ที่สอง คือ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ จ.ระยอง อยู่ไม่ไกลจากตลาดบ้านเพ ตรงทางเข้ามีรูปปั้นปลาสีสันสดใส ส่วนข้างในก็มีปลาทะเลสวยงามให้ดูมากมาย นู๋ชอบปลาการ์ตูนตัวเล็กๆ เต่าทะเลตัวโตๆ ตื่นตาตื่นใจกับปลาฉลาม และปลากระเบนที่ว่ายเหนือหัวในอุโมงค์ใต้น้ำ บรรยากาศคล้ายที่สยามโอเชี่ยนเวิลด์ แต่ค่าเข้าไม่แพงเลยค่ะ ผู้สูงอายุและเด็กเล็ก ฟรี ผู้ใหญ่
30 บาท เด็กโต 10 บาท เรียกว่าคุ้มจริงๆ ออกจากพิพิธภัณฑ์แล้วก็ไปแวะซื้อของที่ตลาดนัดบ้านเพ ของกินเพียบเลยค่า เสื้อผ้า ของเล่น ของที่ระลึก เลือกซื้อไม่ถูกเลยค่ะ แต่แม่ไม่สนับสนุนให้ซื้อพวกเปลือกหอยเพราะเป็นการทำลายธรรมชาติไม่ไกล และนู๋ก็ขอตามพี่ๆ ไปขึ้นเขาด้วย ส่วนแม่ขี้เกียจเลยอยู่ชมวิวทะเลแทน มีคนมากางเต็นท์พักค้างคืนหลายคน ดูๆแล้วน่าจะอพยพมาจากเมืองกรุงเหมือนกัน จากที่นี่มองเห็นเกาะเสม็ดอยู่ไม่ไกลเลย แม่บอกว่า น้ำทะเ
ลที่นั่นใสสะอาดมาก (ปาป๊าพานู๋ไปด้วยน๊า)


สถานที่ท่องเที่ยวต่อมา คือ สวนสมุนไพรสมเด็จพระเทพฯ ที่นี่จะปลูกต้นไม้สมุนไพรหายากหลายชนิด บางชนิดเคยได้ยินแต่ชื่อก็ได้เห็นตัวเป็นๆ วันนี้เอง นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมสวน ขี่จักรยาน (มีให้เช่า) หรือนั่งรถคล้ายๆ รถราง ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่บรรยายสรรพคุณของสมุนไพรตามจุดต่างๆ และก็แวะเติมพลังกับอาหาร / น้ำสมุนไพรอร่อยๆ ก่อนกลับขอเชิญแวะซื้อของที่ระลึกมากมายที่อิ่มทั้งท้อง อิ่มทั้งความรู้เยล่ะค่


พอมาอยู่ระยองครบ 1 สัปดาห์ ก็ถึงวันที่รอคอยของอาม่า เพราะคือวันอาทิตย์ ที่จะได้ไปวัดคาทอลิก แถวนี้มีวัดคาทอลิกให้อาม่าเลือก 2 แห่ง แห่งแรกคือ วัดพระมารดานิจจานุเคราะห์ เป็นวัดที่มีบริเวณกว้างขวาง ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ ไม่ติดแอร์ แต่มีลมธรรมชาติ พัดเย็นสบายตลอดพิธีมิสซา วัดนี้อยู่ติดกับโรงเรียนเซนต์โยเซฟ และอัสสัมชัญ ระยอง หาไม่ยากหรอกค่ะ ช่วงที่ไปมิสซารอบสายมีรถทะเบียนกรุงเทพเยอะมาก คุณพ่อเจ้าอาวาส บอกว่ายินดีต้อนรับสมาชิกหนีน้ำทุกท่าน ยายของนู๋ก็ได้เจอญาติที่นี่ด้วย นับเป็นข้อดีประการหนึ่งของน้ำท่วมนะเนี่ย





ส่วนวัดอีกแห่งก็อยู่ไม่ไกลนัก เข้าไปในตัวเมืองเหมือนกัน วิ่งไปทางหาดแสงจันทร์ ขับเลียบชายหาดไปเรื่อยๆ วัดอยู่ทางซ้าย ชื่อ วัดนักบุญเปาโลกลับใจ ปากน้ำมีมิสซาตอนสาย 10 โมง (เหมาะกับนักท่องเที่ยวชาวกรุงอย่างนู๋มากค่ะ) อีก 1 อาทิตย์ต่อมาพวกเราจึงมากันที่วัดแห่งนี้ วัดนักบุญเปาโลกลับใจ ตามคำบอกเล่า

น่าจะจัดตั้งขึ้น ราว ปี ค.ศ. 1900 เริ่มมีสัตบุรุษวัดจันทบุรีมาตั้งรกราก และรวมกลุ่มกันสวดภาวนา โดยมีพระสงฆ์จากจันทบุรีมาทำมิสซาให้เป็นครั้งคราว จนกระทั่งราวปลายปี ค.ศ. 1925 ได้มีการเริ่มสร้างวัดหลังแรก และสร้างเสร็จราวปลายปี ค.ศ. 1927 วัดนี้มีบริเวณกว้างขวาง ร่มรื่น ปัจจุบันอาคารของวัดไม่ใหญ่นัก (ไม่แน่ใจว่าเป็นหลังแรกหรือหลังที่สอง เพราะม๊าๆ ไม่ได้ถามคนแถวนั้น) แต่ติดแอร์เย็นสบาย เหตุที่ต้องติดแอร์ก็เพราะแถวนั้นมีโรงงานน้ำปลาหลายแห่ง ส่งกลิ่นเหม็นรบกวนสมาธิของผู้มีจิตศรัทธา มิสซารอบนี้ก็มีชาวกรุงอพยพหลายคนเช่นเคย ทำให้วัดดูคึกคักเป็นพิเศษ หลังพิธีมิสซาคุณพ่อเตรียมขนม ผลไม้และน้ำไว้ต้อนรับแขก พวกเรากินจนอิ่มหนำกันถ้วนหน้า ขอขอบคุณคุณพ่อและสัตบุรุษทุกท่านมากค่ะ ออกจากวัดเราแวะไปชมวิวตรงปากแม่น้ำติดกับทะเล หาดแถวนี้ไม่เหมาะกับการเล่นน้ำ ส่วนใหญ่ชาวบ้านจะทำประมงกันมากกว่า ตลอดทางจะเห็นแผงตากปลา และปลาหมึกตัวเล็กๆ เต็มไปหมด

นู๋นอนเอกเขนก + เล่นน้ำจนตัวดำ และอยู่ที่ระยอง 3 สัปดาห์ พี่น้ำก็ไม่มาถึงบ้านซะที พวกเราเลยอพยพกลับกรุงเทพฯ ลาก่อน ระยองฮิ แล้วพบกันใหม่จ้า...

ปล.ปาป๊าพาเที่ยว ยังไม่จบนะคะ รออ่านภาค 2 ได้เร็วๆนี้ค่า

2554/12/23

สุขสันต์วันคริสต์มาส... เพลงเทศกาลคริสต์มาสที่ขอมอบให้ทุกคน

กุมารน้อยจอมราชา

1.สุขสันต์วันคริสต์มาส โอ้วันที่แสนชื่นบาน เชิญมาขับเพลงประสาน สรรเสริญองค์พระกุมาร
ผู้ประสูติมาท่ามกลาง ความมืดมนบนหนทาง แห่งราตรีกาลในรางหญ้า มีเพียงฝูงชุมพาเคียงข้าง
กายาพระองค์ จะมีใครสักคนตื่นเฝ้ารอคอยชื่นชม จุดไฟในกมลตื่นเฝ้ารอ...
บัดนี้เชิญทุกคนตื่นเฝ้ารอคอยชื่นชม กุมารน้อยคริสตองค์ จอมราชา

2.นี่คือจอมราชา ผู้มีใจรักเมตตา เสด็จมาเยือนโลกา ทรงช่วยเราชาวประชา
นำความรอดพ้นทุกข์ทน ความสบสนวุ่นวาย จากความชั่วร้ายหมองหม่น
รวมเราผองมวลชนเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งโลก ไม่มีแบ่งชั้นชน อีกต่อไปใจคลายโศก
ผูกพันรักทั้งโลกตลอดไป ตลอดไป ตลอดไป ในจอมราชา


2554/06/09

สันติสุข จงสถิตอยู่


วันนี้ฤกษ์งาม ยามดี มีการแบ่งปันพระวาจาที่บ้าน..
กลับมาจากที่ทำงานด้วยความแปลกใจว่าทำไมวันนี้รถไม่ค่อยติด มาติดนิดหน่อยก็แค่ตรงถนนหน้าบ้านแค่นั้นเอง ใช้เวลาจากที่ทำงานมาบ้านแค่ 25 นาทีเท่านั้น ทั้งๆ ที่เป็นวันฝนตกหนักมาก
พอกลับมาถึงบ้าน ก็เดินไปรับม๊าๆ กลับมาบ้าน พร้อมกับคนภายในวัด ที่มีความสนใจในการแบ่งปันพระคัมภรี
นับว่าเป็นจิตตารมณ์ ที่จะทำให้เป็นวิถีชุมชนตามคำประกาศของสังฆมณฑล

คนมาที่บ้านก็ไม่มาก ประมาณ 12 คน
และเริ่มอ่านพระวาจา

(ยน 20 : 19-23)

(19)ค่ำวันนั้นซึ่งเป็นวันต้นสัปดาห์ ประตูห้องที่บรรดาศิษย์กำลังชุมนุมกันปิดอยู่เพราะกลัวชาวยิว พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาประทับยืนอยู่ตรงกลาง ตรัสกับเขาทั้งหลายว่า "สันติสุขจงสถิตอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด" (20)ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงให้บรรดาศิษย์ดูพระหัตถ์และด้านข้างพระวรกาย เมื่อเขาเหล่านั้นเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็มีความยินดี (21)พระองค์ตรัสกับเขาอีกว่า "สันติสุขจงสถิตอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด พระบิดาทรงส่งเรามาฉันใด เราก็ส่งท่านทั้งหลายไปฉันนั้น"

(22)ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงเป่าลมเหนือเขาทั้งหลาย ตรัสว่า "จงรับพระจิตเจ้าเถิด

(23)ท่านทั้งหลายอภัยบาปของผู้ใด บาปของผู้นั้นก็ได้รับการอภัย ท่านทั้งหลายไม่อภัยบาปของผู้ใด บาปของผู้นั้นก็ไม่ได้รับการอภัยด้วย

หลังจากอ่านจบ 1 รอบ ก็ให้แต่ละคน รำพึงถึงพระวาจา ที่โดนใจ หรือสะกิดใจเรา และให้รำึพึงกับคำๆ นั้น โดยดูว่า พระจะบอกอะไรกับเรา
คนที่ 1 : เหนือเขาทั้งหลาย
คนที่ 2 : กลัว
คนที่ 3 : อภัยบาป
คนที่ 4 : สันติสุข
คนที่ 5 : จงสถิตอยู่
และอีกหลายๆ คนที่ได้พูดออกมา...
หลังจากนั้นก็มีการแ่บ่งปันในกลุ่มย่อย... ทำให้เราได้ทราบว่าม๊าๆ ชอบคำว่า "สันติสุข" และแบ่งปันว่า

"ถ้าใจฉันมีสันติสุข ลูกๆ ฉันก็จะมีสันติสุขด้วย.. เรามีลูก 7 คน บ่อยครั้งที่พบความยากลำบากในการดำเนินชีวิต และฉันก็ขอสวดให้ใจฉันมีความสันติสุข ขอพยายามเลี้ยงลูกทั้ง 7 คน ให้ได้ดี ทุกครั้งที่ขอก็สามารถทำให้เรามีสันติสุขในการดำเนินชีวิต หรือ ทุกครั้งที่มีอุปสรรคปัญหา ก็จะคลี่คลายไปได้้ด้วยดีตลอดมา"

นับว่าเป็นการแบ่งปันพระวาจาที่มีคุณค่ามากๆ และทำให้เราได้สัมผัสพระพรของพระอีกครั้งหนึ่ง
สำหรับตัวเอง "จงสถิตอยู่"

ในการดำิเนินชีวิตแต่ละวัน ถ้าเรามีสมาธิ หรือมีพระเจ้าสถิตอยู่กับเราตลอดเวลา ก็จะทำให้การดำเนินชีวิต ไม่ว่าจเป็นการทำงาน การใช้ชีวิตก็จะมีประสิทธิภาพ และมีความสุข เพราะ "จงสถิตอยู่"
สันติสุข
ความรัก
ความเข้าใจ
ความตั้งใจ
ความมุ่งมั่น
และพระเจ้า ก็จะ สถิตอยู่กับเราตลอดไป



ขอขอบคุณรูปภาพจาก :

2552/01/02

ฝากภาพรับปีใหม่ ๒๔๕๒ จาก ราชบุรี







รูปภาพล้วนๆ
4 ภาพบน วัดแม่พระฟาติมา ห้วยคลุม สวนผึ้ง
4 ภาพต่อมา วัดนักบุญเปาโลกลับใจ โพธาราม
3 ภาพสุดท้าย รองอาสนวิหารยอห์น บอสโก

2551/12/30

พาเที่ยว ราชบุรี (2) น้ำพุร้อน บ่อคลึง


และก็ถึงยังจุดหมาย ธารน้ำพุร้อนบ่อคลึง ขับรถจาก อ.สวนผึ้ง ไปทางน้ำตกเก้าโจน 16 กม. ลักษณะเป็นลำธารน้ำร้อนเล็กๆ จากเทือกเขาตะนาวศรี มีน้ำไหลซึมออกมาจากตาน้ำใต้ดินไม่ขาดสาย ซึ่งมีก้อนหินใหญ่เล็กเรียงรายตามร่องน้ำตลอดทางประมาณ 300 เมตร สองฝั่งลำธารแวดล้อมด้วยพืชพรรณไม้จากธรรมชาติ การไหลรินของน้ำมีตลอดทั้งปี แม้ในฤดูแล้งปริมาณน้ำไหลจะน้อยลงบ้างไม่ถึงกับแห้ง ที่จุดต้นน้ำซึ่งเป็นตาน้ำผุดออกมาจากใต้ดินนั้นเป็นจุดที่มีอุณหภูมิสูงสุด ความร้อนประมาณ 120-136 องศาฟาเรนไฮต์ สถานที่แห่งนี้พบโดยเอกชนขณะกำลังขุดเหมืองแร่ ในช่วงปี พ.ศ.2468 และทำการปรับปรุงให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวต่อมาจนทุกวันนี้ การจัดการเป็นแบบเรียบง่าย มีค่าเข้าพื้นที่คนละ 5 บาท แล้วเดินเข้าไปอีกหน่อยด้านขวามือจะมีป้ายเขียนว่าพื้นที่ให้กางเต็นท์ และตรงไปอีกนิดก็เป็นจุดที่ลงไปอาบน้ำแร่ได้ ซึ่งบ่อน้ำแร่นี้มีให้เลือก 2 แบบ
คือ กลางแจ้ง เป็นแบบบ่อดิน เปิดโล่งเป็นธรรมชาติ กับ แบบสระปูกระเบื้อง ซึ่งจะอยู่ภายในอีกทีหนึ่ง ป่าป๊าเลือกบ่อดินเพราะดูเป็นธรรมชาติ และราคาถูกกว่า (ผู้ใหญ่คนละ 30 บาท ของหนูฟรีค่ะ) แบบปูกระเบื้องคนละ 50 บาท การแต่งกายก็เป็นเสื้อยืดกางเกงขาสั้น หรือกางเกงวอร์มก็สามารถลงไปแช่น้ำร้อนได้อย่างสบายใจ น้ำในบ่อไม่ลึกมากประมาณเอวผู้ใหญ่ แต่สำหรับหนูยืนแล้วจมแน่ๆ เลยต้องเกาะคนโน้นที คนนั้นที อากาศเย็นๆ ได้อาบน้ำแร่อุ่นๆ แบบนี้ มีความสุขอย่าบอกใคร สมมุติว่าได้ไปอาบน้ำร้อนที่ญี่ปุ่น (ฮอนเซ็น) โดยไม่ต้องเสียตังค์แพงๆ ไงละ


น้ำในบ่อข้างนอก อุ่นกำลังดี มีท่อต่อจากต้นน้ำบนภูเขาลงมาที่บ่ออีกที และน้ำจะไหลเวียนออกไปตลอดเวลา หนูสงสัยว่าน้ำแร่ธรรมชาติจะมีวันหมดไปมั๊ย ถ้าหมดแล้วเขาจะเอาน้ำมาต้มให้ร้อน ทำเป็นน้ำแร่ให้นักท่องเที่ยวมาอาบต่อไป หรือเปล่านะ? (ฮ่า ฮ่า)
ในที่สุดหนูก็ต้องกล่าวคำอำลา จ.ราชบุรี เป็น 2 วัน 1 คืน ที่มีความสุขในครอบครัว เราอาจจะเถียงกันบ้าง บ่นกันบ้าง หรือหงุดหงิดใส่กันบ้างในตอนอยู่บ้าน แต่เมื่อนึกถึงรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความทรงจำดีๆ ที่ได้มาทำบุญไหว้พระ ขอพรร่วมกัน ก็เป็นเหมือนการเพิ่มพลังแห่งความรักในครอบครัว ขอบคุณพระเป็นเจ้าสำหรับการเดินทางที่ปลอดภัย ขอบคุณสำหรับพระพรต่างๆ ที่หนูได้รับทุกครั้งที่วอนขอ และขอบคุณที่ให้หนูได้เกิดมาเพื่อสัมผัส ความสวยงามจากสิ่งสร้างบนโลกใบนี้

ปล.พบกันใหม่กับทัวร์ครั้งหน้าเร็วๆ ตามคำสโลแกน เที่ยวไทยครื้นเครง เศรษฐกิจไทยคึกคักค่า.. หนูเอย

2551/12/23

ป่าป๊า พาเที่ยวราชบุรี ตอนที่ 1
























ดีใจจัง วันหยุดสุดสัปดาห์นี้หนูจะได้ไปเที่ยวที่ราชบุรี ตอนแรกแม่บอกว่าจะพาหนูไปงานแต่งงานที่นั่น แบบไปเช้าเย็นกลับ แต่ป่าป๊าอยากพาหนูเที่ยว (หรืออยากเที่ยวเองก็ไม่รู้) เลยจัดมินิทัวร์แสวงบุญควบคู่กับการไปพักผ่อนที่ราชบุรี 2 วัน 1 คืน





วัดแรกของราชบุรีที่หนูได้ไปเยือน คือ รองอาสนวิหารนักบุญยอห์น บอสโก ซึ่งอยู่ในบริเวณโรงเรียนดรุณา ราชบุรี มองจากภายนอกดูสวยสง่า แข็งแรง มีบันไดสูงหลายสิบขั้นทอดยาว จากทางด้านปีกซ้าย ปีกขวา และด้านหน้าของวัด กว่าจะขึ้นไปถึงตัววัดได้ หนูก็เสียเหงื่อไปหลายหยดเหมือนกัน แต่ก็นับว่าคุ้มเพราะพอมาถึงลานหน้าวัดได้นั่งพัก มองดูวิวจากด้านบน ก็ทำให้หายเหนื่อย รอบๆบริเวณที่นั่ง มีไม้ใหญ่ เช่น ต้นลีลาวดี ปลูกให้ความร่มรื่น สบายตา ภายในวัดก็เย็นสบาย เพราด้านข้างของวัด เป็นประตูเปิดโล่งตลอด มีระเบียงทั้งด้านซ้าย และด้านขวา อีกอย่างที่หนูชอบมากคือ กระจกสีรูปพระ และนักบุญต่างๆ ตรงผนังด้านบนของวัด เวลาแสงอาทิตย์ส่องมากระทบยิ่งดูสวยจนหนูเดินมองเพลินเลยทีเดียว (อยากมาดูของจริงต้องมาที่วัดเองค่า)
แต่หนูถ่ายภาพของศิลาฤกษ์มาให้ชมด้วย







เสกศิลาฤกษ์ วันที่ 26 มกราคม ค.ศ.1985 โดยพระสังฆราชยอแซฟ เอก ทับปิง
วางศิลาฤกษ์ วันที่ 31 มกราคม ค.ศ.1988 โดยพระสังฆราช ยอห์น บอสโก มนัส จวบสมัย โอกาสระลึกศตวรรษสมโภช 100 ปี มรณภาพพ่อบอสโก
เสกวัดใหม่ วันที่ 2 มิถุนายน ค.ศ.1990 โดยโดยพระสังฆราช ยอห์น บอสโก มนัส จวบสมัย






ตอนบ่ายหลังจากเก็บของล้างหน้า ล้างตาที่บ้านพัก แบบโฮมเตย์ ใน อ.เมือง จ.ราชบุรี แล้วเราก็มุ่งหน้าสู่วัดที่สอง คือ วัดนักบุญเปาโลกลับใจ อ.โพธาราม ตอนแรกคิดว่าจะไม่มีบุญได้ไปหา นักบุญเปาโลซะแล้ว เพราะป่าป๊าป้ำเป๋อ ลืมแผนที่ไว้ที่กรุงเทพฯ ต้องโทรศัพท์ถามจากคนที่บ้าน แต่ก็ยังขับวนไปวนมาอยู่แถวนั้น หาไม่เจอซักที ทั้งๆ ก็วิ่งอยู่บนหน้าถนนโรงพยาบาล-บ้านฆ้อง และพยายามมองหาหาวัด กับป้ายชื่อวัดตามเส้นทางนั้น แต่แล้วก็หาไม่พบ จนต้องใช้บริการมอเตอร์ไซค์รับจ้าง บริเวณหน้าสถานีรถไฟโพธาราม ให้ช่วยนำทางให้








จากที่หลงอยู่ เป็นหลายนาที ก็แป๊ปเดียวสามารถถึงที่หมายได้ ซึ่งปัจจุบันนี้วัดอยู่ในซอยฝั่งตรงข้ามของโรงเรียนโพธาพัฒนาเสนี คือ ซอยที่ 8 หมู่ที่ 8 ถ.โรงพยาบาล-บ้านฆ้อง ต.คลองตาคด และหน้าปากซอยมีบ้าน และตึกแถว สร้างขึ้นมาบนริมถนนแล้วทำให้การมองจากถนน นั้นมองไม่เห็นวัดนักบุญเปาโล ซึ่งเป็นวัดเล็กๆ ภายนอกดูคล้ายบ้านพักอาศัย มีชั้นเดียว ขนาดกะทัดรัด ตรงรั้วด้านข้างวัดที่ติดกับซอย มีรูปปั้นแม่พระ และนักบุญเปาโล ให้ผู้มีจิตศรัทธาได้เข้าไปไหว้ และ ถวายดอกไม้ได้ ตอนที่หนูไปนี้ไม่ได้เข้าไปภายในวัด เนื่องจากวัดปิดและไม่มีผู้ดูแลอยู่เป็นประจำ ซึ่งก็เป็นวัดที่น่ารักอีกแห่งหนึ่งในเมืองราชบุรี ที่คอยให้บริการกับชุมชนโพธารามแห่งนี้ จึงอยากเชิญชวนทุกท่าน มาฉลองปิดปีนักบุญเปาโลที่วัดแห่งนี้กันนะค่ะ.. เพราะก็ไม่ไกล ไม่ใกล้จากเมืองกรุง




เช้าวันอาทิตย์ หลังจากอาบน้ำ ล้างหน้า (แม่ทำให้) กินอาหารเช้า (อันนี้หนูทำเองได้) แล้ว เราก็ออกเดินทางสู่วัดที่สาม คือ วัดแม่พระฟาติมา ห้วยคลุม อ.สวนผึ้ง วัดนี้เรียกได้ว่าอยู่บนภูเขาเลยทีเดียว เลี้ยวจากถนนสายหลักปากทางที่จะเข้าโรงเรียนสวนผึ้งวิทยา วิ่งเข้าไปประมาณ 10 กิโลเมตร ก็จะเห็นป้ายบอกทางขึ้นไปบริเวณวัดแม่พระฟาติมา ธรรมชาติสองข้างทางสวยมาก หนูเพิ่งเคยเห็นภูเขาใกล้ๆ อย่างนี้เป็นครั้งแรก เลยตื่นตาตื่นใจ วัดนี้เป็นวัดขนาดกลาง สร้างด้วยไม้เป็นส่วนใหญ่ รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีหอระฆังด้วย พวกเราที่ไปได้มีโอกาสเจอคุณพ่อเจ้าวัด ซึ่งท่านก็เล่าว่า สัตบุรุษที่นี่ ส่วนใหญ่เป็นชาวเขาเผ่าปากะญอ อาศัยอยู่รอบๆ บริเวณวัด บางคนก็อยู่ใกล้ บางคนก็อยู่ไกล บางคนอุ้มลูก จูงหลาน เดินทางมาหลายกิโลเมตรเหมือนกัน มิสซาทุกวันอาทิตย์ เวลา 9.00 น.

หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านซึ่งคุณพ่อซาวีโอ (มนตรี) จูสวย สงฆ์ไทยอาวุโสได้เคยมาทำงานแพร่ธรรมอยู่ก่อนแล้ว หลายปี คุณพ่อซาวีโอเป็นที่รักของชาวปากะญอเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกับกำนันละเอิง บุญเลิศ คุณพ่อเข้า - ออกที่นั้นเป็นประจำทุกอาทิตย์ โดยพักอาศัย กินอยู่ และหลับนอนที่บ้านของกำนันผู้นี้ ในที่สุดคุณพ่อก็ได้ซื้อที่ดิน 1 แปลง มีเนื้อที่ 1 ไร่ ในหมู่บ้านนี้ ด้วยทุนทรัพย์ส่วนตัวของคุณพ่อเอง และได้สร้างบ้านพักพระสงฆ์ 1 หลัง เป็นบ้านไม้ 2 ชั้น ชั้นบนเป็นที่พัก ชั้นล่างปล่อยโล่ง ๆ

เมื่อปี ค.ศ.1982 คุณพ่อวิโรจน์ อินทรสุขสันต์ ได้ไปช่วยงานสังฆมณฑลเชียงใหม่ ตามโครงการมิสซังพี่ – มิสซังน้อง เมื่อได้เป็นเจ้าอาวาสวัดพระหฤทัย เชียงใหม่ ครบวาระ 6 ปี จึงได้ย้ายกลับมาสังฆมณฑลราชบุรี และเข้าดำรงตำแหน่งอธิการบ้านเณรเล็กราชบุรี คุณพ่อเคยมีความสนใจในงานแพร่ธรรมกับคนต่างศาสนาโดยตรง จึงได้เข้ามาสำรวจว่ามีมีครอบครัวคริสตังค์อยู่จำนวนเท่าไร หลังจากนั้น คุณพ่อจึงได้นัดพบกัน เพื่อทำมิสซาเดือนละครั้งในวันเสาร์ต้นเดือน โดยมิสซาจะเป็นภาษาไทย แต่จะเทศน์และขับร้องเป็นภาษาปากะญออาศัยกลุ่มเณรปากะญอเป็นผู้ช่วย มีคนมาร่วมมิสซาด้วยประมาณ 30 - 40 คน เป็นกะเหรี่ยงล้วน ๆ
ปี 1986 ได้ขอครูสอนคำสอนชาวกะเหรี่ยงจากเชียงใหม่ 1 คนมาอยู่ประจำ เพื่อสอนคำสอน สอนสวดบทสวด สอนขับร้องเป็นภาษาปากะญอให้แก่ผู้ใหญ่ ซึ่งส่วนมากมักจะพูดไทยไม่ได้ และในปีนี้เองได้เริ่มส่งเด็กๆ ปากะญอมาเรียนคำสอนภาคฤดูร้อนที่ศูนย์สังฆมณฑลราชบุรี ปรากฏว่าได้ผลดีเกินคาด พูดไทยคล่องขึ้นและมีความกล้าขึ้นอีกด้วย นอกนั้นทางวัดยังได้จัดรถพาคริสตังค์กลุ่มนี้ออกไปร่วมฉลองในโอกาสต่าง ๆ ของสังฆมณฑลด้วย ทั้งนี้เพื่อจะได้เป็นการเปิดหูเปิดตาให้รู้จักศาสนจักรคาทอลิกมากขึ้น พวกเขาจะได้เกิดความเชื่อ ความศรัทธามากยิ่งขึ้น
เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 1987 ได้เริ่มลงรากสร้างวัดใหม่ถวายแด่แม่พระฟาติมา บนเนินสูงเหนือหมู่บ้าน เป็นวัดเล็ก ๆ ขนาดกว้าง 6 เมตร ยาว 21 เมตร สามารถบรรจุคนได้ 100 คน ด้านหลังวัดทำเป็น 2 ชั้น ชั้นบนเป็นที่พักพระสงฆ์ วัดหลังนี้ต้องใช้เวลาก่อสร้างนานกว่า 3 ปี จึงจะเสร็จเรียบร้อย ทั้งนี้ก็เพราะเหตุขัดข้องทางด้านการเงินและคนก่อสร้าง ซึ่งต้องเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาถึง 4 ชุด ระยะทางก็อยู่ห่างไกล กันดาร การขนส่งอุปกรณ์ก่อสร้างก็ลำบาก รถติดทราย ติดหล่มเป็นประจำ ซ้ำคนงานยังป่วยเป็นไข้มาเลเรียกันบ่อย ๆ อีกด้วย



ที่สุดวัดแม่พระฟาติมา ห้วยคลุม ก็สำเร็จลงและได้รับการเสกโดย พระสังฆราช มนัส จวบสมัย เมื่อวันที่ 1 มกราคม 1992 นอกจากตัววัดและหอระฆังแล้ว ก็ยังมีบ้านพักพระสงฆ์ซึ่งมีลักษณะเป็นบ้าน 2 ชั้น ครึ่งตึกครึ่งไม้อีก 1 หลัง พร้อมศาลาอเนกประสงค์ซึ่งโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรีร่วมใจสร้างให้อีก 1 หลังด้วย



อู้หู.. ความลำบากเมื่อ 20 กว่าปีก่อนกว่าจะได้วัดหลังนี้มา ทำให้อนุชนรุ่นหลังได้มีวัดและชุมชนที่น่ารักอีกแห่งหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะอยู่หากไกลจากตัวเมือง แต่ผู้คนที่นี้ยังสะอาดบริสุทธิ์ ยิ้มแย้ม แจ่มใส มีน้ำใจไมตรี มีคุณลุงคนหนึ่งชวนแม่ให้พาหนูเดินลงเขาไปเยี่ยมชมหมู่บ้านทางด้านล่างของวัด แม่มองทางลงก็ได้แต่ยิ้มกับคุณลุง ก็แหม ตอนขาลงนะไม่เท่าไรหรอก แต่ตอนขาขึ้นี่สิ แม่คงไม่อยากเข็นครก เอ๊ย เข็นหนูขึ้นภูเขา
ด้านข้างของวัดมีศาลาเล็กๆ ให้นั่งชมวิวด้วย มองออกไปเห็นทิวเขาสลับซับซ้อน มีบ้านคนอยู่ประปราย พื้นที่บางส่วนก็ถูกถางทำเป็นแปลงปลูกพืชดูเป็นระเบียบ ตัดกับภาพป่าไม้ที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ ยิ่งอากาศเย็นๆ ช่วงเดือนธันวา ทำให้หนูรู้สึกเหมือนได้ไปเที่ยวเมืองนอกเลย (จริงๆ ก็ไม่เคยไปหรอก เห็นแต่ในโทรทัศน์) พักผ่อนสูดอากาศ ชาร์ตพลัง จนเต็มปอด เราก็ขอลาคุณพ่อ และลุงๆ ป้าๆ ชาวปะกาญอ เพื่อเดินทางต่อ (โปรดติดตามตอนต่อไป)