2552/04/11
2552/03/30
ขอพร 3 ข้อ จากพระกุมารเยซู
2552/03/27
วัดคาทอลิก วัดพระคริสตกษัตริย์
2552/03/22
ตัวกู และกางเขน ไม่ยึดติด
คำว่า ตัวกู ของกู จะทำให้เรายึดติดและเห็นแก่ตัว ซึ่งถ้ามองเป็นภาษาอังกฤษ ตัวกู ก็คือ “I” หากเราต้องการทำลายตัวกูของกู ก็ให้เอาไม้มาทิ่มแทงทะลุไปซึ่งตัวไอ นี้ก็จะกลายเป็นรูปไม้กางเขน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของทางคริสต์ศาสนา ดังนั้นการเป็นคนดีก็จะต้องทำลายตัวกู ของกู และไม่ยึดติด ไม่เห็นแก่ตัว พร้อมที่จะแบ่งปัน เสียสละให้ผู้อื่น ก็จะทำให้สังคมนั้นเป็นสุข เป็นคนดีด้วยกันทั้งนั้น
หลังจากนั้นก็ได้มีโอกาสลงไปที่สวนโมกข์ กับเพื่อนในช่วงเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นเดือนของท่านพุทธทาส ก่อนที่จะถึงวันระลึกท่านพุทธทาส วันที่ 27 พฤษภาคม พวกผมได้มีโอกาสไปนอนค้างคืนที่สวนโมกข์ และทานข้าวที่โรงทานแถวนั้นด้วย แม้จะเป็นเพียงเวลาแค่หนึ่งคืน แต่ก็สร้างความประทับใจให้กับผมเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งคำสอนต่างๆ ที่ท่านให้ไว้และช่วงที่ท่านมีชีวิตอยู่ ท่านสอนไว้ว่า เมื่อถึงวันคล้ายวันเกิดของท่านแล้ว สาธุชนไม่ต้องนำของ หรือของขวัญมาถวายให้กับท่าน ท่านพุทธทาส ขอเพียงแต่ว่าให้คนผู้นั้นอดอาหาร และระลึกถึงท่าน ท่านบอกว่าเมื่อเราอดอาหารแล้วเราก็จะได้เข้าใจคนที่ไม่มีจะกินว่าเขาลำบากอย่างไร รู้สึกอย่างไร เพื่อให้เราจะได้รู้จักแบ่งปันคนอื่น และไม่กินอาหารเหลือทิ้งอันจะทำให้เสียของไปอีกด้วยซ้ำ
ผมมาพิจารณาในคำสอนของท่านในเรื่องการอดอาหารเพื่อระลึกถึงท่านพุทธทาส นี้เป็นการให้คำสอนที่ล้ำลึกมากๆ เลยครับ เป็นคำสอนที่เน้นการลดภาวะโลกร้อนได้ดีเยี่ยมมากๆ เพราะว่าคนไม่ต้องซื้อของมาให้ท่าน และลดการบริโภคลงอีกด้วยซ้ำเป็นการสอนให้คนรู้จักตัวเอง รู้จักอารมณ์ของตนเองเมื่อหิว จะได้รู้จักคุณค่าของอาหารหรือสิ่งที่คนเรากินเข้าไปด้วย
และนี้ก็เป็นความเชื่อ ความศรัทธา และเหตุการณ์ต่างๆ ที่หล่อหลอม และทำให้ผมไม่ยึดติดกับรูปแบบพิธีกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่เชื่อมั่นและศรัทธาในความดี ความเป็นธรรมชาติของศาสนาพุทธ และศาสนาคริสต์ที่ผมนับถือมาตั้งแต่แรกเกิด
2552/03/19
ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน
คุณพ่อของผมเป็นพ่อค้า ร้านขายของชำ ค้าขายมาตั้งแต่หนุ่มๆ จนถึงอายุ 30 ปี ท่านก็ได้ซื้อห้องแถวไว้สองห้อง เพื่อเปิดเป็นร้านขายของโดยตั้งชื่อร้านว่า แสงชัยพานิช เป็นการสะสมเงินและเตรียมการมาตั้งแต่วัยหนุ่ม เพื่อให้มีร้านขายของเป็นของตนเอง เพราะที่ผ่านมาจะต้องเช่าแผงของคนอื่น ซึ่งท่านก็มีความคิดว่าสักวันจะต้องมีร้านเป็นของตัวเองให้ได้ แล้วก็ทำสำเร็จจนได้
ขณะที่ร้านค้าใหม่นี้เพิ่งเปิด ตัวผมเองเพิ่งมีอายุได้แค่ หนึ่งขวบปีกว่าๆ ก็ยังจำความอะไรไม่ได้ จนกระทั่งเมื่อได้เข้าเรียนหนังสือและเริ่มจำความได้ และมีหลายเหตุการณ์ที่คุณพ่อได้สอนไว้ เช่น เวลาผมจะกินขนมในร้าน ผมก็จะต้องขอคุณพ่อ หรือพี่สาวคนโตก่อนทุกครั้ง เพราะคุณพ่อบอกว่า ก่อนที่เราจะหยิบของคนอื่น หรือของในร้าน ต้องขออนุญาตเจ้าของก่อนเสมอ
คุณพ่อ มักจะเก็บกระดาษกล่อง หรือลังกระดาษต่างๆ เวลาที่เราแกะกล่อง และนำสินค้าต่างๆ ไปขายได้แล้ว ก็จะเหลือเศษกระดาษ หรือพวกขวดพลาสติก ขวดแก้ว ท่านก็จะเก็บไว้ และมัดไว้เป็นกองๆ สำหรับกระดาษ และใส่กระสอบไว้สำหรับพวกขวดพลาสติก หรือขวดแก้ว เพื่อจะได้นำไปขายให้กับร้านขายของเก่า เป็นการลดปริมาณขยะ และทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นด้วย
ผมจำได้ว่ามีตู้เย็นใบใหญ่ๆ อยู่ใบหนึ่งเอาไว้แช่น้ำอัดลมให้ลูกค้าได้กินน้ำเย็นๆ ชื่นใจ บนตู้เย็นนั้นจะเขียนข้อความว่า “ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน” เป็นตู้เย็นที่ซื้อมาหลังจากที่เปิดกิจการใหม่ และใช้ได้เป็นสิบปีเลยทีเดียว ตอนเด็กๆ ผมเคยคุยกับคุณพ่อถึงข้อความข้างบนว่า ผมเคยถามว่า “ซื่อ เป็นอาหารหรือขนมและมันกินได้ด้วยหรือครับ?“ แต่คุณพ่อก็อธิบายว่า “ซื่อ คือ ความซื่อสัตย์กับลูกค้า เวลาพวกเราเป็นพ่อค้าถ้าค้าขายต้องมีความซื่อสัตย์ อย่างเช่นกรณีตักน้ำตาลทรายขายให้กับลูกค้าก็ต้องตักให้ครบปริมาณที่ลูกค้าต้องการ และถ้าคิดเงินก็ต้องคิดเงินให้ถูกต้อง ครบถ้วน ไม่โกงลูกค้า หากพวกเรา ซื่อสัตย์และลูกค้าเชื่อถือ ลูกค้าก็จะกลับมาซื้อกับเราอีก ทำให้เรามีเงินไปซื้อกับข้าวมากินได้ตลอดไม่มีวันหมดอย่างไงล่ะ“
ส่วนคำว่า คด คือ คดโกง เพราะถ้าหากเราคดโกงลูกค้า ขายของหมดอายุ ขายของไม่ดีให้กับลูกค้า ลูกค้าก็จะไม่มาซื้อกับเรา และทำให้เราไม่มีรายได้ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเราก็คงมีกินอยู่ได้ไม่นาน ดังนั้นจงจำไว้ว่า หากพวกเราจะทำกิจการ หรืออยู่ในที่ทำงานแห่งใด จงมีความซื่อสัตย์ และจดจำคำนี้ไว้ให้ตลอดเวลา
“ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน”
2552/03/16
วัดพระชนนีของพระเป็นเจ้า รังสิต THE CHURCH OF OUR LADY MOTHER OF GOD
ในปี 1967 หลังจากคุณพ่อแปร์เรย์ได้เป็นเหรัญญิกที่ศูนย์เป็นเวลา 2 ปีแล้ว พระอัครสังฆราชยวง นิตโย ได้แต่งตั้งคุณพ่อแปร์เรย์ เป็นปลัดผู้ช่วยคุณพ่อกิมฮั้ง ที่วัดกาลหว่าร์ และมอบหมายเป็นพิเศษให้ท่านมาดูแลคริสตังที่สะพานใหม่ และรังสิต
2552/03/11
Lawrence Kohberg กระบวนการพัฒนาการของคุณธรรมหรือศีลธรรม
ระดับที่ 1 เริ่มแรกแห่งคุณธรรม (Perconventional morality Stage) ได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอนคือ
ขั้นตอนที่ 1 ขั้นตอนแห่งการพึ่งพา (Heteronomous Stage) เริ่มจากความต้องการส่วนตัวของปัจเจกบุคคลมากกว่าผลประโยชน์ส่วนรวม การกระทำที่ถูกต้องคือ การกระทำที่ได้รับความชื่นชม ส่วนการกระทำที่ผิดก็คือการกระทำที่ทำให้ถูกลงโทษ เปรียบเสมือนข้าพเจ้าในวัยเด็กที่ได้ช่วยขายของก็มุ่งหวังประโยชน์ส่วนตน โดยไม่ได้คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมของร้านค้าที่หากข้าพเจ้าขายสินค้าราคาแพงก็จะทำให้ข้าพเจ้าได้กำไรมากในครั้งนั้นเพียงครั้งเดียว แต่ร้านค้าอาจจะต้องเสียลูกค้าไปหนึ่งคนก็ได้
ขั้นตอนที่ 2 ขั้นตอนแห่งอัตนิยมและหวังผลตอบแทน (The Stage of Individualism and Instrumental Purpose and Exchange) ยังอยู่บนความต้องการส่วนตนมากกว่าส่วนรวม แต่มีความสามารถที่จะแก้ไขปัญหาหากมีความขัดแย้ง เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ตนเองต้องการ
ระดับที่ 2 ยึดคุณธรรมตามประเพณีนิยม (Conventional Morality Stage)
เป็นตัวเราเองที่เป็นผู้มีส่วนรวมในการกำหนดกฎ ระเบียบเพื่อประโยชน์ส่วนตนและส่วนรวม โดยมีการแสดงพฤติกรรมเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการหรือความสนใจจากผู้อื่น ซึ่งแบ่งเป็นอีก 2 ขั้นตอน คือ
ขั้นตอนที่ 3 ขั้นตอนแห่งความคาดหวังและความสัมพันธ์ (The Stage of Multure Interpersonal Expectation, Relationship and Interpersonal Conformity) เป็นการแสดงออกในการกระทำ เพื่อผู้อื่น และเป็นการกระทำที่ถูกต้อง โดยยังให้ความสำคัญกับคุณค่าทางจิตใจมากกว่าทางร่างกาย
ขั้นตอนที่ 4 ขั้นตอนแห่งระบบสังคมและมโนธรรม (The Social System and Conscience Stage) ตั้งอยู่บนรากฐานเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นเป็นหลัก และแก่สังคมโดยรวม แสดงพฤติกรรมเพื่อความดีของสังคม ทำตามระเบียบ แม้ว่าบางครั้งจะไม่เป็นเห็นด้วยกับกฎหมายบางฉบับก็ตาม เป็นการทำตามหน้าที่ สิทธิที่พึงมีของบุคคล
ข้าพเจ้าอยู่ในระดับที่ 2 ที่ยังมีความคาดหวัง และมีมโนธรรมในการดำรงชีวิต เหตุการณ์หลายๆ ครั้งในชีวิตมักจะเป็นดังตัวอย่างของเหตุผลในขั้นตอนนี้ กล่าวคือ “ฉันจะไปกับเธอ เพราะว่าฉันต้องการให้เธอชอบฉัน” ในบางครั้งของกิจกรรมนอกเวลางาน ข้าพเจ้ามักจะมีความคิดว่าถ้าเราไปร่วมงานหรือไปกิจกรรมนี้แล้ว คนจัดงานหรือคนที่ทำงานด้วยต้องแสดงไมตรีจิต หรือสามารถให้ความช่วยเหลือข้าพเจ้าได้ในอนาคต ซึ่งก็สอดคล้องกับขั้นตอนที่ 3 ขั้นตอนแห่งความคาดหวังและความสัมพันธ์ ในบางช่วงเวลา การที่เราทำตามคำสั่งที่เจ้านายบอก หรือทำตามกฎระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในชีวิตประจำวัน นั้นก็เป็นเพราะชีวิตของมนุษย์ต้องการความสงบ ความเป็นระเบียบเป็นขั้นพื้นฐานของมนุษย์
ระดับที่ 3 ยึดคุณธรรมด้วยจิตวิญญาณ (Postconventional Morality Stage)
เป็นตัวเราเองที่ยังยึดถือในกฎเกณฑ์ความถูกผิดของสังคมซึ่งมีไว้เพื่อประโยชน์ส่วนรวม แต่มองไปที่คุณค่าพื้นฐานความเป็นมนุษย์สูงสุด ซึ่งแบ่งเป็น 2 ขั้นตอนคือ
ขั้นตอนที่ 5 ขั้นตอนแห่งสัญญาสังคม (The Stage of Social Contract or Utility and of Individual Rights Stage) เป็นการรักษาและปกป้องประโยชน์หรือคุณค่าโดยรวมของสังคม
ขั้นตอนที่ 6 ขั้นตอนแห่งหลักจริยธรรมสากล (The Stage of Universal Ethical Principles Stage) เป็นการมุ่งเน้นการกระทำที่ถูกต้องตามศีลธรรมที่เป็นสากล เช่น กฎทองคำ “ปฏิบัติต่อผู้อื่นเหมือนกับที่เราต้องการได้รับการปฏิบัติจากผู้อื่นเช่นกัน”
เมื่อเทียบกับทฤษฎีลำดับขั้นของความต้องการของ Maslow แล้วชีวิตของข้าพเจ้าจะอยู่ในช่วงขั้นตอนที่ 4 คือ ความต้องการความนับถือ เนื่องจากในช่วงชีวิตที่ผ่านมาข้าพเจ้าได้รับการตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานขั้นที่ 1 คือความต้องการทางกาย เมื่อหิวข้าพเจ้าก็หาของกินมาได้ และตอบสนองได้อย่างพอเพียงจนบางครั้ง อาจจะมากไปเสียด้วยซ้ำ ทำให้ร่างกายมีน้ำหนักที่เกินมาตรฐานอยู่สักเล็กน้อย
ความต้องการขั้นที่ 2 คือ ความต้องการความปลอดภัย มีงานทำมีสวัสดิการที่ดี และได้รับความคุ้มครองเมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย หรืออุบัติเหตุ ด้วยการซื้อประกันชีวิตในระดับที่ข้าพเจ้าสามารถชำระได้อย่างพอดี
ความต้องการขั้นที่ 3 คือ ความต้องการความรัก อยู่ในบ้านและอยู่ในที่ทำงานก็แสดงความรักต่อผู้อื่น คล้ายกับกฎทองคำ “ปฏิบัติต่อผู้อื่นเหมือนกับที่เราต้องการได้รับการปฏิบัติจากผู้อื่นเช่นกัน” เช่น เมื่อเราต้องการคุยกับเขา หรือทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมงาน เราก็จะต้องไปคุยกับเขาก่อน หรือยิ้มกับเขาก่อน แล้วนั้นก็จะทำให้เราได้รู้จักหรือร่วมงานกันเป็นอย่างดีต่อไปในอนาคต แต่ก็เป็นเพียงแค่บางครั้งที่ข้าพเจ้าสามารถทำได้เช่นนี้ เพราะในความคิดของข้าพเจ้านั้นเป็นการยากที่เราจะสามารถเป็นหรืออยู่ในขั้นที่ 6 ของทฤษฎี Kohlberg ได้ตลอดเวลา เพราะว่าคนเรามักมีข้อจำกัดในการดำเนินชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว ครอบครัว หรืออะไรก็แล้วแต่ที่จะนำมากล่าวอ้างได้
แต่หากพวกเรา หรือคนที่อยู่ในสังคมมีความมุ่งหวังที่จะดำเนินชีวิตก้าวเข้าสู่ขั้นที่ 5 หรือขั้นที่ 6 ของทฤษฎี Kohlberg แล้วก็จะทำให้สังคมนั้นมีความสุข และมีความสงบได้ คงไม่มากก็น้อยที่ชีวิตของเราจะสามารถดำเนินต่อไปได้ในสังคมทุกวันนี้
กลับมากล่าวถึง ขั้นตอนที่ 4 คือ ความต้องการความนับถือ ในชีวิตของข้าพเจ้านั้นจะเป็นในมุมมองของความต้องการความสำเร็จในชีวิตหน้าที่การงาน มากกว่าการนับถือ ถึงแม้ว่าในช่วงชีวิตการทำงานของข้าพเจ้าจะเป็นพนักงานและก้าวเข้าสู่การเป็นผู้จัดการแผนกฯ แต่แล้วด้วยความที่ข้าพเจ้ามีความต้องการความสำเร็จที่จะเป็นเจ้าของกิจการ ทำให้ข้าพเจ้าได้ตัดสินใจลาออก และออกมาทำธุรกิจกับเพื่อนๆ ซึ่งขณะนั้นก็ไม่ได้คาดคิดว่าตนเองจะเป็นเจ้าของบริษัทฯ อะไรใหญ่โต หรือร่ำรวยเป็นร้อยล้าน พันล้าน แต่เพียงแค่ตอบสนองความต้องการในข้อนี้เท่านั้น คือความสำเร็จที่ข้าพเจ้าจะได้เป็นเจ้าของบริษัทฯ หรือมีธุรกิจเป็นของตนเอง โดยที่ตนเองเป็นหุ้นส่วนใหญ่ในบริษัทฯ แต่หลังจากที่ข้าพเจ้าได้ลงมือทำกิจการของตนเอง ลงมือแก้ปัญหาด้วยตนเอง ทำทุกอย่างทั้งหมดเพื่อให้บริษัทฯ สามารถมียอดขาย และมีรายได้เข้าบริษัทฯ แต่ทว่าภาวะเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาทำให้ข้าพเจ้าและเพื่อนๆ มีความยากลำบากในการดำเนินธุรกิจ และประสบภาวการณ์ขาดทุน แต่พวกเราก็พยายามปรึกษาหารือ วิ่งหาทุนมาเพิ่มเพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ พวกเราที่เป็นหุ้นส่วนกันถึงแม้จะมีความเห็นแตกต่างกันไปบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับแตกแยก เพราะถือว่าเป็นการตัดสินใจร่วมกันตั้งแต่ต้นที่พวกเราจะออกมาทำธุรกิจเป็นของตนเอง
จนในที่สุดภาวการณ์อันเลวร้ายต่างๆ ทำให้พวกเราตัดสินใจปิดกิจการ ซึ่งเป็น SMEs หนึ่งในหลายร้อย SMEs ที่ต้องปิดกิจการในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจไม่ดี ทั้งน้ำมันแพง ค่าครองชีพสูง การเมืองภายในไม่สงบ เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามข้าพเจ้าและเพื่อนๆ ก็ได้แยกย้ายกันไปประกอบอาชีพลูกจ้าง หรือพนักงานตามบริษัทต่างๆ ซึ่งก็ทำให้แต่ละคนมีชีวิตอยู่ และข้าพเจ้าก็ได้มีโอกาสกลับมาพัฒนาด้านจิตใจมากขึ้นอย่างที่กล่าวในข้อที่หนึ่งของบทเรียนนี้ เพราะว่าได้ห่างเหินมานานในช่วงชีวิตที่มัวแต่หมกหมุ่นอยู่กับการทำงานเพื่อดำรงชีพ และปัจจุบันพวกเราทุกคนก็สามารถครองชีพได้ในช่วงเศรษฐกิจขาลงที่กำลังจะเกิดขึ้นในขณะนี้
สำหรับความต้องการขั้นสูงสุดของ Maslow ซึ่งเป็นขั้นสุดท้าย คือ ความต้องการเป็นคนที่สมบูรณ์ ในความคิดของข้าพเจ้าคิดว่าการเข้าสู่ขั้นนี้เป็นเรื่องที่ยากในการดำเนินชีวิตในปัจจุบันของสังคมเมือง แต่หากว่าคนใดที่มีความตั้งใจหรือมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตนเองให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดี และจะทำให้สังคมนั้นน่าอยู่ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลในระดับใด พนักงาน, ผู้บริหารระดับกลาง, ผู้บริหารระดับสูง, ข้าราชการ, นักการเมือง เป็นต้น
2552/03/08
หวนอดีต "แสงชัยพานิช"
ช่วงปิดเทอมในวัยเด็กของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจำได้ว่าอยากได้ของเล่นสักชิ้นหนึ่ง แต่ป๊าๆ ได้บอกว่าให้ข้าพเจ้า ช่วยขายสินค้า แล้วนำเงินที่ได้จากการกำไรสินค้านั้นๆ รวบรวมแล้วไปซื้อของเล่นที่อยากได้ ขณะนั้นข้าพเจ้าก็มีความสงสัยว่า ? ทำไมป๊าๆ ถึงไม่ให้นำเงินทั้งหมดที่ขายได้ไปซื้อละ ทำไมให้แค่กำไรที่จะนำไปซื้อของเล่น?? แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ถามอะไรมากนัก ก็ลงมือเริ่มขายของที่ร้านทุกวัน ตั้งแต่ 10 โมง จนถึง 6 โมงเย็น
ข้าพเจ้ามีสมุดเล็กๆ ไว้สำหรับจดยอดกำไรที่ข้าพเจ้าได้รับในแต่ละครั้งที่ข้าพเจ้าขายสินค้าได้ เวลาที่ขายสินค้าได้ ก็จะไปถามพี่สาวคนโต หรือป๊าๆ ว่าได้กำไรเท่าไร แล้วก็จดลงไปในสมุด มีอยู่ครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าก็ตะโกนถามออกมาว่า
“ป๊า ขนมปังนี้กำไรเท่าไรครับ ผมจะจดลงสมุด”
ขณะนั้นลูกค้ายังอยู่ในร้านแล้วก็ทำหน้างงๆ แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้สนใจว่าเขาทำหน้าอย่างนั้นทำไม
ป๊าๆ ก็เดินมาบอกกับลูกค้าว่า “ลูกจะซื้อของเล่น อั๊วก็เลยให้มาช่วยขายของ เก็บเงินไว้ไปซื้อของเล่นชิ้นนั้น”
ลูกค้าก็ยิ้มๆ แล้วบอกว่า “ดีจัง ขยันเขานะหนู” แล้วก็เดินออกไปจากร้าน
หลังจากนั้นสักพักป๊าๆ ก็เข้ามาบอกว่าครั้งต่อไป รอให้ลูกค้าออกไปก่อนแล้วค่อยถามและให้ใช้เสียงเบาๆ ด้วย เดี๋ยวลูกค้าเขาจะตกใจ ห้ามตะโกนถามแบบนี้อีกนะ
หลังจากที่ข้าพเจ้าอยู่ช่วยขายของไปได้สักระยะหนึ่ง ก็เริ่มสงสัย และคิดว่าทำไมเราไม่ขายนมผงกระป๋องนี้ ในราคาเต็มไปเลย คือ 132 บาท ก็จะทำให้เราได้กำไรเพิ่มขึ้นอีก 7 บาท ทำให้ในครั้งต่อไปข้าพเจ้าก็ได้ขายนมกระป๋องกับลูกค้าอีกคนหนึ่ง ในราคา 130 บาท แต่ปรากฏว่าลูกค้าเขาก็สงสัยและถามกลับว่า “อ้าว ?? ไม่ใช่ 125 บาท หรือจ้ะ?? เคยซื้ออยู่ราคานี้นะ”
ข้าพเจ้าก็ตอบกลับว่า “ไม่ได้ครับ”
“ลองไปถามป๊าๆ ดูสิ” ลูกค้าตอบกลับ
ทำให้ข้าพเจ้าต้องเดินไปถามป๊าๆ พร้อมกับหยิบนมกระป๋องนั้น ไปถาม “ป๊าๆ อันนี้เท่าไรครับ”
ป๊าๆ ก็มองดูที่ใต้กระป๋องที่มีโค้ดภาษาจีนอยู่ แล้วบอกว่า “125 บาท” ข้าพเจ้าก็หยิบนมกระป๋องใส่ถุงหิ้วให้กับลูกค้า
เย็นวันนั้น ขณะกำลังนั่งกินข้าวเย็นกับป๊าๆ ป๊าก็ถามว่า “ลูกค้ามาซื้อของที่ร้านเราบอ่ยๆ เป็นเพราะอะไรรู้ไหม?”
“ไม่รู้ครับ”
“เป็นเพราะร้านของเราขายสินค้าราคาไม่แพง และมีของให้เลือกเยอะ ลูกค้าจึงกลับมาซื้อกลับเราบ่อยๆ อย่างเช่น นมกระป๋องที่วันนี้ขายไปนั้น ถ้าเราขาย 130 บาท จริงอยู่ที่จะได้กำไรมากถึง 20 บาท แต่ถ้าลูกค้ากินหมดแล้ว และไปซื้อร้านอื่น เราก็จะเสียลูกค้า และไม่ได้เงินจากเขาอีกนะ ในกรณีถ้าเราขายแค่ 125 บาท ได้กำไรแค่ 15 บาท แล้วลูกค้ากลับมาซื้ออีกครั้ง ก็จะทำให้เรามีกำไรอีก 15 บาท เป็นเท่าไรรู้ไหม?” ป๊าๆ ถามกลับ
“เป็น 30 บาทครับ” ข้าพเจ้าตอบ
“เห็นไหมว่ามันเยอะกว่าในตอนแรกที่เราได้แค่ 20 บาท ดังนั้นพ่อค้าอย่างเรา ควรมีคุณธรรมและจริยธรรมในการค้าขาย ให้มีกำไรแต่พอดี ไม่เอาเปรียบลูกค้า ซึ่งควรจะยึดหลักอิทธิบาท 4 คือ
· ฉันทะ คือ ความพอใจ ในฐานะเราเป็นพ่อค้าร้านขายของ มีกำไรพอเลี้ยงตัวเอง และชอบในการขายสินค้าให้ลูกค้า
· วิริยะ คือ ความพากเพียร ขยัน ทำมาหากิน ไม่ขาดตอนเป็นระยะเวลายาวนานเหมือนที่เปิดร้านให้ลูกค้ามาซื้อของตลอด 7 วันไม่มีหยุด
· จิตตะ คือ ความใส่ใจ ไม่ทอดทิ้งร้าน และทำด้วยใจจดจ่อ โดยสนใจในตัวลูกค้าและสินค้าที่ขาย
· วิมังสา คือ การแสวงหาความรู้เพิ่มเติม และทำให้ร้านค้าพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ ตลอดเวลา
เหตุการณ์ในช่วงที่ข้าพเจ้าขายของ เพื่อเก็บกำไรมาซื้อของที่ข้าพเจ้าต้องการนั้น ทำให้ข้าพเจ้าได้เรียนรู้อะไรเพิ่มเติมมากกว่าการบวก ลบ ตัวเลขธรรมดา และมุ่งหวังแต่กำไรเยอะๆ แต่ข้าพเจ้าได้เข้าใจว่าการเป็นพ่อค้านั้น จะต้องยึดถือคุณธรรมและมีจริยธรรมในการค้าขายอีกด้วย ซึ่งข้าพเจ้าก็ยึดถือและนำมาปฏิบัติในแต่ละช่วงเวลาของชีวิตข้าพเจ้า ในปัจจุบันข้าพเจ้าได้มีโอกาสนั่งสมาธิกับเพื่อนๆ ทำให้ข้าพเจ้าได้เข้าใจถึง คุณธรรมของพรหมวิหาร 4
· เมตตา คือ ความรักความปรารถนาดีที่ให้เพื่อนร่วมงาน หรือผู้อื่นมีความสุข
· กรุณา คือ ความสงสาร เห็นใจปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นความทุกข์
· มุทิตา คือ ความรู้สึกพลอยชื่นชมยินดีเมื่อเพื่อนร่วมงาน หรือผู้อื่นได้ดี เจริญก้าวหน้า
· อุเบกขา คือ ความรู้สึกวางเฉย โดยปราศจากอคติ หรือสิ่งที่มายั่วยวน
หลักธรรมหรือคุณธรรม เหล่านี้พยายามนำมาใช้ในแต่ละช่วงเวลาที่ข้าพเจ้าทำงาน ทำให้ข้าพเจ้าทำงานได้อย่างมีความสุขมากขึ้น แม้ว่าในบางช่วงเวลาอาจจะหลงลืม หรือ มัวแต่จมอยู่กับปัญหา หรืองานที่รุ่มเร้าเข้ามาในบางช่วงเวลาของชีวิต แต่ถ้าเรามีสติ หรือมีสมาธิก็สามารถฟันฝ่าปัญหาหรืองานต่างๆ ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
2552/03/01
สลัมด็อก มิลเลียนแนร์ ความจริงและความฝัน
มีโอกาสได้ไปดูหนังโรง ซึ่งเป็นหนังดัดแปลงจากนิยายดังของอินเดีย โดยฝีมือของผู้กำกับอังกฤษ ที่แต่เดิมไม่มีค่ายหนังไหนสนใจจะนำมาฉายในอเมริกาจนเกือบจะต้องออกจำหน่ายเป็นหนังแผ่น ได้สร้างปรากฏการณ์บนเวทีออสการ์ด้วยการคว้ารางวัลใหญ่ไปครองถึง 8 สาขา รวมทั้งสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมที่คว้าไปอย่างไร้คู่แข่ง ซึ่งเป็นหนังที่สะท้อนความจริง ของสังคม และความฝันของคนด้วยเช่นกัน
หากใครมีโอกาสได้ไปดู หรือคิดว่าจะหนังเป็นแผ่นเก็บไว้สักเรื่อง ก็ดีไม่ใช่น้อย ขอสนับสนุนหนังเรื่องนี้ด้วยอีกแรงใจหนึ่ง
ผลจากที่หนังได้รับรางวัลสำหรับดาราเด็ก
มุมไบ 27 ก.พ.- ดาราเด็กจากภาพยนตร์ “สลัมด็อก มิลเลียนแนร์“ ที่กวาดรางวัลออสการ์ไปถึง 8 สาขา กลับมาใช้ชีวิตในชุมชนแออัดของนครมุมไบ ประเทศอินเดีย ตามเดิม หลังมีโอกาสเหินฟ้าไปสหรัฐ เพื่อร่วมงานประกาศผลออสการ์ที่ฮอลลีวู้ด เมื่อไม่กี่วันก่อน
เด็กชาย อาซารุดดิน อิสมาอิล และเด็กหญิง รูบีนา อาลี สองดาราเด็กจากภาพยนตร์เรื่องดัง ต้องกลับมานอนกลางดินกินกลางทรายเช่นเดิม ในที่พักของพวกเขา ซึ่งตั้งอยู่ในชุมชนแออัดกลางนครมุมไบ โดยเด็กชายอาซารุดดิน นอนอยู่ใต้แผ่นพลาสติกในเพิงที่พักใกล้รางรถไฟ ท่ามกลางกลิ่นปัสสาวะและมูลวัวที่โชยมาเป็นระยะ ส่วนเด็กหญิงรูบีนานอนกับพ่อแม่พี่น้องในเพิงเล็ก ๆ ใกล้ท่อระบายน้ำ
สองหนูน้อยอาศัยอยู่ในชุมชนแออัดแห่งนี้มาตั้งแต่เกิด จนวันหนึ่งได้มีโปรดิวเซอร์หยิบยื่นโอกาสให้มาร่วมแสดงในภาพยนตร์ “สลัมด็อก มิลเลียนแนร์ “ ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เติบโตในชุมชนแออัดกลางนครมุมไบ ภาพยนตร์ประสบความสำเร็จไปทั่วโลก จึงทำให้สองหนูน้อยได้มีโอกาสร่วมเดินทางกับคณะผู้ถ่ายทำภาพยนตร์ไปร่วมงานประกาศผลออสการ์ที่ฮอลลีวู้ด นครลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย และนับเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้มีโอกาสขึ้นเครื่องบิน
เด็กหญิงรูบีนา พูดถึงเครื่องบินว่า ใหญ่กว่าที่เธอคิดไว้มาก ทั้งยังพูดชมประเทศสหรัฐ ว่า เป็นดินแดนที่มหัศจรรย์ นอกจากการร่วมงานประกาศผลออสการ์แล้ว เด็ก ๆ กลุ่มนี้ยังได้มีโอกาสเที่ยวชมสวนสนุกดิสนีย์แลนด์ เด็กหญิงรูบีนาบอกว่า เธอชอบเครื่องเล่นทุกชนิด แต่ที่ไม่ชอบคืออาหารอเมริกันเพราะไม่ถูกปาก
เมื่อเด็กทั้งสองกลับมายังประเทศอินเดีย พวกเขาได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นและกลายเป็นคนดังเพียงชั่วข้ามคืน ชีวิตความเป็นอยู่ล้วนถูกช่างภาพปาปารัสซีบันทึกเอาไว้ ด้านทีมงานผู้สร้างภาพยนตร์ ตัดสินใจส่งเสียเด็กทั้งสองให้ได้เข้าโรงเรียน และจะออกค่าเล่าเรียนให้จนกระทั่งพวกเขามีอายุครบ 18 ปี
ส่วนกองทุนที่จัดตั้งไว้ จะให้เด็กทั้งคู่ถอนเงินออกมาใช้ได้ ก็ต่อเมื่อพวกเขามีอายุครบ 18 ปีแล้วเท่านั้น โดยหวังว่า ความช่วยเหลือนี้จะโน้มนำให้เด็กสองคนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น. -สำนักข่าวไทย
2552/02/28
บันทึกประวัติศาสตร์ โบสถ์เก่าเซนต์ปอล แปดริ้ว
2552/02/26
มุมมองชุมชนใกล้เคียงวัดเซนต์ปอล แปดริ้ว จ.ฉะเชิงเทรา
2552/02/24
ต้องอยู่ ด้วย "บุญ" ธุรกิจถึงจะ "ถาวร"
ช่วงแรก ปี พ.ศ.2515 – 2525
เจ้าของธุรกิจผู้บุกเบิก บุญถาวร พื้นเพเป็นคนกรุงเทพ และครอบครัวทางกิจการค้าขายวัสดุก่อสร้างและปูนซิเมนต์ แถวมหาพฤฒธาราม ในช่วงปี พ.ศ.2521 ได้ย้ายธุรกิจครอบครัวไปที่บริเวณชานเมือง ถ.งามวงศ์วาน เพราะเล็งเห็นว่าเศรษฐกิจไทยได้ขยายตัวขึ้น และผู้คนมีกำลังซื้อค่อนข้างสูง ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โครงการบ้านจัดสรรกำลังเป็นที่นิยม และกระจายออกไปชานเมืองมากขึ้น ประกอบกับการห้ามนำเข้าสุขภัณฑ์และกระเบื้องเซรามิคจากต่างประเทศ ทำให้ราคาสินค้าสองประเภทนี้ค่อนข้างแพง และสามารถทำตลาดใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นได้ พร้อมกับเริ่มพิจารณาตลาดค้าวัสดุในแนวใหม่ โดยมุ่งเน้นเฉพาะที่ กระเบื้องเซรามิคปูพื้น – บุผนัง และสุขภัณฑ์เซรามิค ช่วงที่ย้ายไปที่งามวงศ์วาน ได้ใช้กลยุทธ์การเปลี่ยนโฉมหน้าร้านค้าสุขภัณฑ์ เพื่อตอบสนองลูกค้าเจ้าของบ้านซึ่งมาเลือกสรรวัสดุ และสุขภัณฑ์ด้วยตนเอง จึงได้เริ่มทำ ห้องน้ำตัวอย่าง (Mock-up Room) เพื่อให้ลูกค้าสามารถมองเห็นภาพ เกิดจินตนาการสิ่งที่ลูกค้าต้องการได้อย่างชัดเจน ทำให้สามารถตัดสินใจเลือกสินค้าได้เหมาะสมกับความต้องการ และงบประมาณที่ลูกค้ามีอยู่ได้
โดยมีการอบรมพนักงานให้มีความรู้ ความชำนาญให้คำแนะนำและตอบข้อข้องใจต่างๆ ซึ่งขณะนั้นร้านอื่นๆ ยังคงให้เจ้าของร้านทำหน้าที่นี้ ซึ่งก็นับว่าเป็นการเพิ่มโอกาสการขาย และการรับรองลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น ร้านค้าใหม่นี้ได้ถูกปรับเปลี่ยนการจัดวางสินค้า ให้คล้ายกับห้างสรรพสินค้า และมีการติดตั้งเครื่องปรับอากาศในร้าน ตลอดจนมีการจัดให้มีการโชว์สินค้าทุกยี่ห้อ ให้ลงสนามแข่งขันกันอย่างเสรี
ช่วงที่สอง ปี พ.ศ.2526-2535
ร้านที่งามวงศ์วานได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ทำให้ธุรกิจค้าเซรามิค สุขภัณฑ์นี้คึกคักขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้เจ้าของธุรกิจได้มองหาทำเลใหม่ในการตั้งร้านค้าให้ใหญ่กว่าเดิม เนื่องจากที่เดิมนั้นเป็นตึกแถวไม่กี่คูหา ด้วยถือหลักในการบริหารว่า หากร้านจำหน่ายของดี มีคุณภาพ ราคาเหมาะสม ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนลูกค้าก็จะยังติดตามไปใช้บริการ และแหล่งใหม่ก็คือ ถ.รัชดาภิเษก โดยมาเปิดกิจการในปี พ.ศ.2527 และมีการนำเสนอสิ่งใหม่ๆ ให้กับลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ ตลอดจนมีการออกแบบและปรับเปลี่ยนห้องน้ำตัวอย่างให้ลูกค้าได้ชม ทุก 3-4 เดือน ทำให้กการขายสินค้ามีจำนวนมากขึ้น ดังนั้น บุญถาวรจึงได้เริ่มนำระบบคอมพิวเตอร์ เข้ามาช่วยในการควบคุมปริมาณงาน และลดต้นทุน โดยเฉพาะช่วยในด้านการเช็คจำนวนสินค้าคงคลังควบคู่ไปกับระบบการจัดจำหน่าย พนักงานหน้าร้านสามารถเช็คสินค้าที่ลูกค้าต้องการที่มีอยู่ในคลังสินค้าได้อย่างถูกต้อง และระบบคอมพิวเตอร์นี้ยังช่วยในการออกใบเสร็จรับเงิน และใบกำกับภาษีตามระบบการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มได้อย่างถูกต้อง เป็นเจ้าแรกของร้านค้าสุขภัณฑ์
ช่วงที่สาม ปี พ.ศ.2536-2545
จากสภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัวรวดเร็วทำให้มีการตัดสินใจลงทุนเพิ่มเติมกับเพื่อน และขยายสาขาออกไปเพื่อรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยเปิดที่ สาขารังสิต (พ.ศ.2537) , สาขาปิ่นเกล้า และบางนา (พ.ศ.2538) และสาขาธนบุรีปากท่อ (พ.ศ.2543)
ธุรกิจมีการขยายในแนวกว้าง และก็ย่อมมีการขยายในแนวลึก ตั้งแต่ธุรกิจต้นน้ำ ถึงปลายน้ำ กล่าวคือ ได้ขยายการลงทุนเปิดบริษัท ผลิตสินค้า และนำเข้ากระเบื้องเซรามิค จากต่างประเทศ หลังจากที่รัฐบาลยกเลิกการห้ามนำเข้า ทำให้มีบุญถาวร สามารถมีสินค้าที่มีความแตกต่าง และหลากหลายกว่าร้านค้าอื่นๆ ที่มีอยู่ในตลาด
ในระยะเวลาที่มีการขยายงานและความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในบุญถาวร ทำให้การบริหารงานหลายอย่างปรับเปลี่ยน จากระบบการทำงานในรูปแบบครอบครัว ได้พัฒนาขึ้นเป็นการทำงานในรูปแบบของบริษัทอย่างเต็มตัว มีการกระจายอำนาจบริหารสู่มืออาชีพจากองค์กรภายนอก มีการแสวงหาบุคลากรที่มีความชำนาญ ความสามารถเฉพาะด้านมาร่วมงานด้วย
ช่วงที่สี่ ปี พ.ศ.2546- ปัจจุบัน
คณะผู้บริหารในองค์กรได้ปรับกลยุทธ์โดยการมุ่งเน้นพัฒนาคน พัฒนาองค์กรมากขึ้น โดยมุ่งเน้นใน 3 ด้านของการพัฒนาคน ได้แก่
ด้านความรู้-มีการจัดฝึกอบรมพนักงานเก่าในด้านการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ เช่น การออกแบบ 3 มิติ เป็นต้น และจัดฝึกอบรมให้กับพนักงานใหม่ได้ด้านความรู้สินค้าที่บุญถาวรจำหน่ายทั้งหมด
ด้านทักษะ-มุ่งเน้นในทักษะการขาย สำหรับพนักงานใหม่ๆ ที่เข้ามา โดยใช้ระบบพี่เลี้ยง และการฝึกอบรมเป็นเครื่องมือในการสอนทักษะเหล่านี้ สำหรับพนักงานสายวิชาชีพ เช่น สถาปนิก, มัณฑนากร ได้มีการจัดให้มีทักษะในการพูดคุยกับลูกค้า และรับความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด เพื่อให้การออกแบบนั้นสามารถเข้าถึง และเข้าใจลูกค้าได้อย่างครบถ้วน เพื่อให้แบบห้องน้ำ ห้องครัว ที่ออกมานั้นสามารถขายได้ทันที
ด้านทัศนคติ-มีการอบรมและให้หัวหน้างานเป็นคนบอกกล่าว และจัดให้มีการแลกเปลี่ยนทัศนคติในการทำงานระหว่างหน่วยงานอีกด้วย ตลอดจนเปิดโอกาสให้พนักงานทุกระดับ ได้มีส่วนร่วมในการแสดงออก และสามารถแสดงความคิดเห็นในงานที่ตนเองปฏิบัติหรือรับผิดชอบอยู่ได้อย่างเต็มที่ เช่น โครงการ KAIZEN ที่ให้พนักงานในทุกระดับ ทุกฝ่าย ได้เสนอความคิดเพื่อปรับปรุงวิธีการทำงาน หรือระบบในการทำงานที่ตนเองรับผิดชอบอยู่ โดยมีการประกวดและนำความคิดเหล่านั้นมาปฏิบัติจริงต่อไป
2552/02/22
ขำวันละนิด กับลูกหมูและพ่อหมู
ลูกหมู 'ป่าป๊า ทำไมบ้านคนอื่นเขาใหญ่ แต่ทำไมบ้านเราถึงเล็ก' พ่อหมู 'เพราะป่าป๊าไม่ค่อยมีตังค์' ลูกหมู 'แล้วทำยังไง เราถึงจะมีบ้านใหญ่ๆ ล่ะครับ' พ่อหมู 'หนูก็ต้องตั้งใจเรียนหนังสือ พอโตขึ้นก็ทำงานได้เงินเยอะๆ ซื้อบ้านหลังใหญ่ๆ' ลูกหมู 'แล้วทำไมตอนเด็กๆ ป่าป๊าถึงไม่ตั้งใจเรียนหนังสือ'
2552/02/18
ภาพวัดภายในมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ บางนา สุวรรณภูมิ
2552/02/16
วัดใน เอแบค บางนา ABAC BANGNA
การเดินทางขับรถไปตามถ.บางนาตราด ถึงกม.ที่24 แล้วก็ออกทางขนาน เพื่อเตรียมตัวเข้าซอยของวัดศิริบางเสาธง ระวังเลย.. และก่อนหน้านี้จะไม่ค่อยมีไป มหาวิทยาลัย เพื่อบอกทางเท่าไรนะครับ.... ประมาณ กม.26 เลี้ยวซ้ายเข้าไปแล้วก็วิ่งตามไปบอกทางก็จะเห็นมหาวิทยาลัยมีทางเข้าอยู่ด้านซ้ายมืออีดทีหนึ่ง
แล้วจะนำภาพสวยๆ มาฝากกันครับ
2552/02/09
อัศจรรย์แห่งชีวิต
วันต่อมา วันรุ่งขึ้น ทารกน้อยมีอาการดีขึ้นตามลำดับจนหายและกลับบ้านได้ในที่สุด นิตยสารวูแมนส์เดย์ เรียกเหตุการณ์นี้ว่า “เพลงอัศจรรย์ของพี่ชาย” ส่วนทีมกุมารแพทย์เรียกมันว่า “อัศจรรย์” แต่แม่และไมเคิลขนานนามให้เป็น “อัศจรรย์ความรักของพระเจ้า”
เรียบเรียงจากเรื่องที่ 38 ในหนังสือ “อัศจรรย์แห่งชีวิต”*
*******************************
เรื่อง “อัศจรรย์” สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกยุคทุกสมัย ไม่เฉพาะแต่สมัยของพระเยซูเจ้าเท่านั้น แต่หากท่านที่ไม่เคยประสบกับตนเองก็จะไม่รู้สึกซาบซึ้งกับคำว่า “อัศจรรย์” หรือ “ปาฏิหาริย์” เท่ากับคนที่เคยประสบ ข้าพเจ้าอ่านเรื่องข้างต้นที่ยกมาจากหนังสือ “อัศจรรย์แห่งชีวิต” ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงเรื่องราวของสองสามีภรรยาสองคู่ ทั้งสองคู่มีภาวะความเสี่ยงที่บุตรจะเกิดมาเป็นโรคทาลัสซีเมีย*
ในสมัยก่อน 40 กว่าปีที่แล้ว ยังไม่มีการตรวจความสมบูรณ์ของทารกในครรภ์ก่อนคลอดเหมือนปัจจุบัน สามีภรรยาคู่แรกให้กำเนิดบุตรชายและบุตรสาวหลายคน แต่มีสองคนที่เป็นทาลัสซีเมียซึ่งเป็นโรคเลือดชนิดหนึ่งที่มีความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ ทำให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดแดงที่มีลักษณะผิดปกติแตกสลายเร็วกว่าที่ควร ทำให้มีอาการซีดเรื้อรัง เด็กน้อยทั้งสองคนไม่แข็งแรงตั้งแต่เกิด ต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อยๆ เพื่อรับการให้เลือด แพทย์แจ้งกับผู้เป็นพ่อและแม่ของเด็กน้อยทั้งสองว่า เด็กทั้งสองนี้จะมีอายุไม่นาน โดยทั่วไปไม่เกิน 15 ปี พ่อแม่ต้องทำใจ แต่ทั้งสองท่านมีศรัทธาในพระเจ้ามาก ขอพระพรจากพระเจ้าเพื่อบุตรชายทั้งสองของตนเสมอ จนเวลาล่วงเลยมา 40 กว่าปี บุตรชายคนหนึ่งได้จากไปก่อนด้วยวัยเพียงสามสิบกว่าๆ แต่บุตรชายอีกคนสามารถแต่งงานมีทายาทสืบสกุลที่สมบูรณ์ทุกประการได้อย่างน่าอัศจรรย์ ถึงแม้ว่าชีวิตของเขาทั้งสองจะไม่ยืนยาว แต่ก็มากพอที่เขาจะได้รับความรัก ความอบอุ่นจากพ่อแม่ และถ่ายทอดความรักนั้นสู่ลูกชายของเขาได้เช่นกัน “อัศจรรย์” ที่มีชีวิตอยู่ได้ยืนยาวมากกว่าที่แพทย์คาดการณ์ไว้กว่ายี่สิบปี เรื่องราว “อัศจรรย์” ทำนองนี้เกิดขึ้นเสมอ
และก็เกิดขึ้นกับสามีภรรยาคู่ที่สองที่ข้าพเจ้ากำลังจะกล่าวถึงซึ่งเป็นคู่ที่มีภาวะความเสี่ยงในการมีบุตรเป็นทาลัสซีเมีย (อัตรา1 ใน 4) เช่นเดียวกับคู่แรก แต่ทั้งคู่อยู่ในยุคปัจจุบันที่มีเทคโนโลยีทางการแพทย์เจริญก้าวหน้ามากแล้ว สามารถตรวจหาความเสี่ยงได้ก่อนเด็กคลอด (การวินิจฉัยก่อนคลอด Prenatal diagnosis) ทั้งคู่เลือกโรงพยาบาลที่ดีที่สุดเพื่อดูแลบุตรในครรภ์เป็นอย่างดี และแพทย์ก็ยืนยันว่าไม่พบความเสี่ยงดังกล่าว แต่ในเดือนที่แปดของการตั้งครรภ์ก็เกิดภาวะผิดปกติ ทำให้แพทย์ต้องตัดสินใจผ่าคลอด และเมื่อคลอดแล้วก็พบว่าทารกมีร่างกายไม่สมบูรณ์ คือมีโครโมโซมผิดปกติทำให้หัวใจของเด็กน้อยมีแค่ 3 ห้อง แพทย์แจ้งให้ทำใจ เพราะทั่วไปเด็กจะอยู่ได้ไม่เกิน 1 เดือน เด็กน้อยต้องอยู่ตู้อบในห้องไอซียูสำหรับเด็ก เมื่อทราบข่าวทุกคนในครอบครัวต่างเศร้าโศกเสียใจ อยากจะให้ “อัศจรรย์” หรือ “ปาฏิหาริย์” เกิดขึ้นทั้งๆ ที่ใจก็ยอมรับว่ามันเป็นไปไม่ได้ และแล้วเด็กน้อยก็ต้องจากไป สามีภรรยาผู้เป็นพ่อแม่ของเด็กน้อยคือผู้ที่ปวดร้าวที่สุด ยากที่จะทำใจยอมรับได้ และต้องพักฟื้นใจกันอีกระยะหนึ่ง
ทว่าทั้งสองคนและทุกคนในครอบครัวต่างเชื่อมั่น หากมี “ศรัทธา” สิ่งที่เราเชื่อมั่นจะต้องเป็นจริงได้ และข่าวดีก็เข้ามาให้ครอบครัวได้ดีใจกันอีกครั้ง เมื่อทราบว่าผู้เป็นภรรยาได้ตั้งครรภ์อีกครั้ง และครั้งนี้ทุกคนในครอบครัวร่วมกันแสดงความศรัทธาและวอนขอพระพรจากพระผู้เป็นเจ้า บทสวดสำคัญที่สวดกันในครอบครัวอย่างสม่ำเสมอในช่วงนั้น นอกจากการสวดสายประคำทุกวันแล้วนั้น นั่นคือบทสวด “พระเมตตา” ทุกวันศุกร์ และความชื่นชมยินดีก็มาถึง เมื่อครบกำหนดคลอด ครอบครัวก็ได้สมาชิกใหม่เป็นเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู พวกเขาจึงตั้งนามนักบุญให้เด็กน้อยนี้ว่า “โฟสตินา”* เพื่อยืนยันถึง “พระเมตตา” ของพระเยซูเจ้า สายรุ้งและแสงแดดหลังพายุฝนกระหน่ำนั้นสวยงามเช่นไร ครอบครัวนี้เข้าใจความหมายได้อย่างลึกซึ้ง ถึงแม้ดูเหมือนว่าจะถูกทดลองความเชื่อมาก่อนที่จะพบกับความสุขก็ตาม
“อัศจรรย์”นั้นมีจริง และเกิดขึ้นได้กับทุกคนแสมอ หากเรา “เชื่อมั่น” และมี “ศรัทธา”
หมายเหตุ
* หนังสือ “อัศจรรย์แห่งชีวิต ฉบับความรักและมิตรภาพ” ยิตตา ฮัลเอบร์สแตม และจูดิธ เวลเวสนธัล เขียน / สิทธิพร ชุมชื่นจิตร์ เรียบเรีบง จาก Small Miracle of love & Friendship
* ทาลัสซีเมีย เป็นโรคเลือดชนิดหนึ่งที่มีความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ ทำให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดแดงที่มีลักษณะผิดปกติแตกสลายเร็วกว่าที่ควร ทำให้มีอาการซีดเหลืองเรื้อรัง ผู้ที่มีอาการแสดงของโรคนี้ จะต้องรับกรรมพันธุ์ที่
ผิดปกติมาจากทั้งฝ่ายพ่อและแม่ (ซึ่งอาจไม่มีอาการแสดง) ถ้ารับจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงฝ่ายเดียว จะไม่มีอาการแสดง แต่จะมีกรรมพันธุ์ที่ผิดปกติอยู่ในตัวและสามารถถ่ายทอดไปยังลูกหลานต่อไป ในประเทศไทยพบว่ามีกรรมพันธุ์ที่ผิดปกติของโรคนี้ โดยไม่แสดงอาการเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนอีสาน อาจมีถึง 40% ของประชากรทั่วไปที่มีกรรมพันธุ์ของโรคนี้ สาเหตุเกิดจากความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ ผู้ที่มียีนธาลัสซีเมียทั้งที่เป็นโรคและเป็นพาหะจะสามารถถ่ายทอดยีนที่ผิดปกติไปสู่ลูกหลานได้ ในกรณีที่พ่อหรือแม่เป็นพาหะเพียงคนเดียว โอกาสที่ลูกเป็นพาหะเท่ากับ 2 ใน 4 หรือครึ่งต่อครึ่ง แต่จะไม่มีลูกคนใดเป็นโรค ในกรณีที่พ่อและแม่เป็นพาหะของธาลัสซีเมียทั้งคู่โอกาสที่ลูกจะเป็นโรคเท่ากับ 1 ใน 4 โอกาสที่จะเป็นพาหะเท่ากับ 2 ใน 4 และ โอกาสที่จะปกติเท่ากับ 1 ใน 4 ในกรณีที่พ่อและแม่ ฝ่ายหนึ่งเป็นโรค และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นพาหะ โอกาสที่ลูกจะเป็นโรคเท่ากับ 2 ใน 4 และ โอกาสที่จะเป็นพาหะเท่ากับ 2 ใน 4 โดยลูกไม่มีโอกาสปกติเลย (ข้อมูลจาก ไทยแลปออนไลน์ เฮท์ลไซต์)
* นักบุญ “โฟสตินา” มีชื่อเดิมว่า เฮเลนา โควาลสกา เกิดเมื่อวันที่25 สิงหาคม ค.ศ.1905 ที่หมู่บ้านโกลโลวิค ประเทศโปแลนด์ เป็นบุตรคนที่ 3 ในจำนวนพี่น้อง 10 คน เมื่ออายุเกือบ 20 ปี ได้เข้าอารามภคินี คณะพระแม่แห่งความเมตตา สมาชิกคณะนี้อุทิศตนเพื่อดูแลให้การศึกษาแก่สตรีที่ประสบปัญหาชีวิต ปีต่อมาได้รับเครื่องแบบนักบวชและรับนามใหม่ว่า ซิสเตอร์มาเรีย โฟตตินา ปี 1928 พระเยซูเจ้าเริ่มเผยแสดงพระองค์ต่อท่าน ปี 1930 ซิสเตอร์โฟสตินา ได้รับสารแห่งพระเมตตาจากพระเยซูเจ้า และเริ่มเขียนบันทึกยาวกว่า 600 หน้า เกี่ยวกับการเผยแสดงต่างๆ ที่ได้รับเกี่ยวกับพระเมตตาของพระเป็นเจ้า เป็นเครื่องมือเน้นย้ำแผนการแห่งพระเมตตาของพระเป็นเจ้าสำหรับชาวโลก ชีวิตของท่านเลียนแบบองค์พระคริสตเจ้า ท่านพลีกรรมและมีชีวิตเพื่อผู้อื่น ท่านเต็มใจถวายความทุกข์ทรมานส่วนตัวร่วมกับพระองค์ เพื่อชดเชยบาปของผู้อื่น ทำกิจเมตตา กระตุ้นให้ผู้อื่นวางใจในพระเป็นเจ้า เพื่อเตรียมชาวโลกให้พร้อม สำหรับการเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่งของพระองค์ ท่านทำตามคำสอนของพระเป็นเจ้าที่ตรัสว่า "จงมีความเมตตากรุณา เหมือนพระบิดาของท่านผู้ทรงเมตตา" ท่านมรณกรรมเมื่อปี 1938
ซิสเตอร์โฟสตินาได้รับการสถาปนาเป็นนักบุญ โดยสมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 เมื่อวันที่ 3 เมษายน ค.ศ.2000 พระองค์ตรัสในคำเทศน์ตอนหนึ่งว่า ชีวิตของซิสเตอร์ โฟสตินา โควาลสกา เป็นดังของประทานจากพระเป็นเจ้าเพื่อยุคสมัยของเรา ชีวิตที่ถ่อมตนของท่านเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 คนที่ยังจดจำได้ย่อมตระหนักดีว่า ณ เวลานั้นประชากรหลายล้านคนทั่วโลกต้องผจญกับความทุกข์ยากแสนทรมานเพียงไร ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่โลกต้องการสารแห่งความเมตตาเป็นอย่างยิ่ง
สิ่งสำคัญที่ต้องไม่ลืมคือ ความรักพระเป็นเจ้า และความรักต่อพี่น้อง ชาย หญิงทั้งหลาย ไม่อาจแยกจากกันได้ ดังที่จดหมายของนักบุญยอห์นได้เตือนเราว่า "เรารู้ว่าเรารักบรรดาบุตรของพระเจ้า เมื่อเรารักพระเจ้าและปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์" (1 ยอห์น 5:2) แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรักด้วยความรักที่ลึกซึ้ง โดยอาศัยตัวมนุษย์เองเท่านั้น แต่เราจะรักอย่างสิ้นสุดจิตใจได้ก็ต่อเมื่อได้เรียนรู้โดยซึมซับจากรหัสธรรมแห่งความรักของพระเป็นเจ้า เมื่อเพ่งมองพระองค์ซึ่งเต็มไปด้วยหัวใจแห่งความเป็นพ่อ ทำให้เรามีดวงตาใหม่ในการมองเพื่อนพี่น้องด้วยสายตาแห่งการไม่เห็นแก่ตัว เป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ใจกรุณา และการให้อภัย ทั้งหมดนี้คือความเมตตานั่นเอง
(ข้อมูลจาก อุดมศานต์ - มีนาคม 2006)
2552/02/03
Mind Map เขียนความคิดการทัวร์แสวงบุญ
เรื่องการแสวงบุญ วัดคาทอลิก ความคิดที่เขียนเรื่องนี้ เพราะต้องการสรุปเรื่องราวเพื่อรวบรวมประเด็นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งนับว่าเป็นการพักผ่อนของครอบครัว และให้แต่ละคนในบ้านได้ทราบว่า มีใครเกี่ยวข้อง และต้องทำอะไรต่อเนื่องบ้าง
แต่โดยส่วนใหญ่ก็จะเป็นตัวของผมเอง ที่จะต้องดำเนินการทั้งหมด
เริ่มตรงกลาง แล้ววนไปทางขวาบน คือ
•การเตรียมการ
oค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เนท ว่าวัดที่เราจะไปนั้นอยู่ในจังหวัดอะไร และ มีถนนการเดินทางเป็นอย่างไร ประกอบกับเก็บรูปภาพที่มีอยู่ในอินเตอร์เนทได้ดู หรือเทียบกับของจริงๆ ที่เราจะต้องไปเจอด้วยว่ามันจะเหมือนหรือต่างกันอย่างไร
oดูแผนที่จริง จากหนังสือท่องเที่ยวด้วยเพื่อให้สามารถจำได้ว่าจะต้องเดินทางไปอย่างไร และช่วยกันคิดตารางการเดินทางท่องเที่ยวในเบื้องต้นด้วยว่า จะแวะเที่ยว หรือซื้อของที่ใดบ้างอย่างไร พร้อมกับดูเมนูอาหารท้องถิ่น หรือ ข้อมูลของท้องถิ่นด้วยว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง
oจองที่พัก โดยการโทร.ไปพูดคุยกับสถานที่พัก และจองยืนยันการเข้าพักด้วย
•คนที่เกี่ยวข้อง
oคนร่วมเดินทาง ที่จะไปด้วยต้องทำตัวให้ว่าง หรือลางานได้ก็จะยิ่งดีเพราะจะได้มีเวลาไปได้มากขึ้น คนที่จะไปด้วยส่วนใหญ่ก็จะเป็น ย่า หรือยาย ภรรยา และลูก เป็นต้น
oคนที่จะอยู่เพื่อเฝ้าบ้าน โดยส่วนใหญ่ก็จะเป็นพี่สาว และหลาน
•สถานที่ไป
oพูดคุย ถามประวัติ หรือเรื่องราวของวัดนั้นๆ หรือ ท้องถิ่นมีเรื่องราวอะไรน่าสนใจ เช่น คุยกับพระสงฆ์หลังจากที่เสร็จพิธีกรรม หรือ พูดคุยกับชาวบ้านละแวกนั้นด้วย
oเมื่อเที่ยวชุมชนใกล้เคียง โบราณสถานตลาด พร้อมแวะหาของที่ระลึก (ถ้ามี)
•เก็บภาพบันทึกเรื่องราว
oถ่ายภาพเก็บไว้ พิจารณามุมสวยของสถานที่ , ชื่อป้าย, จุดเด่นของสถานที่นั้นๆด้วย
oบันทึกเรื่องราวสั้นๆ เมื่อกลับมาแล้ว ภรรยาจะเป็นผู้เขียนเรื่องราวในรอบแรก และผมจะแก้ไข หรือเพิ่มเติมในเนื้อหาอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับคัดเลือกรูปภาพประกอบลงในเว็บบล็อกของตัวเอง และอัดรูปบางส่วนลงกระดาษ เพื่อเก็บเป็นที่ระลึกอีกทีหนึ่ง
2552/01/25
ความสุข ของกะทิ เพลงประกอบละคร
ขอร่วมสนับสนุน หนังสือดีๆ และเพลงเพราะๆ นะครับ..
2552/01/13
Bible พระคริสตคัมภีร์ แรงบันดาลใจ
หนังสือไบเบิ้ล หรือ พระคัมภีร์ของศาสนาคริสต์ ผูกพันกับหนังสือเล่มนี้ตั้งแต่ผมจำความได้ ตอนเด็กๆ ก็ได้เรียนคำสอน หรือ เรียนเรื่องราว ประวัติที่อยู่ในไบเบิ้ล เป็นคำสอนของพระเจ้า และที่สำคัญเป็นหนังสือบันทึกประวัติของพระเยซูเจ้าไว้อย่างครบถ้วน
หากจะพูดไปแล้วไบเบิ้ลนั้นมีแง่มุมทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านสังคม ด้านการเมือง ด้านศาสนา ด้านเศรษฐกิจ และแต่ละมุมมองก็มีสิ่งที่น่าสนใจและน่าศึกษาพร้อมกับสามารถนำมาปรับใช้ได้กับชีวิตประจำวันเลยทีเดียว
สื่อวิทยุ คลื่นกรีนเวฟ ที่ผมได้ฟังตั้งแต่คลื่นวิทยุนี้เปิดตัวเป็นครั้งแรก และก็ติดตามฟังอย่างสม่ำเสมอก็เป็นเวลาเกือบยี่สิบปีแล้ว ที่คลื่นแห่งนี้หล่อหลอมคนฟังด้วยดนตรีแนวฟังสบายๆ ดนตรีไม่รุนแรง และบางครั้งก็มีแง่คิดดีๆ จากการจัดรายการพูดคุยกันในทุกเย็นวันศุกร์
ถึงแม้ในอดีตทางรายการจะมีโฆษณาเยอะมากๆ เพราะเป็นคลื่นติดอันดับหนึ่ง ทำให้มีบริษัทฯ ต่างๆ ให้ความสนใจเพื่อลงโฆษณา แต่ทางสถานีก็จำกัดจำนวนโฆษณาไว้ เพื่อไม่ให้มันมีมากเกินไป และอาจจะทำให้ผู้ฟังนั้นเลิกฟังคลื่นนี้เพราะโฆษณามากเกินไป ก็นับว่าผู้บริหารสถานีมีความใส่ใจ และสนใจผู้ฟังด้วยเช่นกัน ในความเห็นของผมคิดว่าการฟังเพลงสบายๆ ก็นับว่าเป็นการสร้างคุณธรรมขึ้นมาในจิตใจได้ในระดับหนึ่ง
2552/01/07
ข้ามน้ำโขง แสวงบุญ วัดเทเรซา ประเทศลาว
รูปปั้น นักบุญเทเรซา บริเวณด้านหน้าวัด